เป็นประเด็นที่ต้องติดตามกับการแก้ไขปัญหา “มรสุมราคาน้ำมัน” ที่ตอนนี้กำลังกลายเป็นไฟไหม้ฟางลามไปทั่วทุกแขนงยากที่จะแก้ไขโดยง่าย ซึ่งเวลานี้รัฐบาลได้แต่นั่งกุมขมับเร่งหาหนทางแก้ไขให้ผ่านพ้นไปได้
ต้องยอมรับว่าปัญหาราคาน้ำมัน มีปัจจัยที่สนับสนุนทั้งจากภายนอกประเทศ และปัญหาภายในประเทศ ที่พร้อมใจกันส่งให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นวิกฤติโรคระบาด และถูกซ้ำเติมด้วยสงครามของประเทศผู้ผลิตน้ำมัน
และอีกหนึ่งปัจจัยที่กำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ ถึงสาเหตุที่ทำให้ราคาน้ำมันไม่สามารถลดราคาลงได้ นั่นคือ “ค่าโรงกลั่น” โดยมีการออกมาเปิดตัวเลขที่น่าสนใจจาก “คุณกรณ์ จาติกวณิช” หัวหน้าพรรคกล้า พูดถึงค่าการกลั่นที่เฉลี่ยดังนี้ ปี 2563 อยู่ที่ 70 สตางค์ ต่อลิตร ปี 2564 อยู่ที่ 89 สตางค์ต่อลิตร และปี 2565 เพิ่มขึ้นทุกเดือนจากสงครามยูเครน ตั้งแต่เดือนมกราคม อยู่ที่ 1.35 บาท ต่อลิตร กุมภาพันธ์ 1.58 บาทต่อลิตร มีนาคมอยู่ที่ 2.80 บาท จากนั้นค่าการกลั่นก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนในเดือนมิถุนายนอยู่ที่ 5.80-6.00 บาทต่อลิตร /โดยไตรมาสแรกของปี หรือ 3 เดือนแรก (มกราคม-มีนาคม) ปรับเพิ่มเฉลี่ย 1.91 บาทต่อลิตร สร้างกำไรให้โรงกลั่น 28,000 ล้านบาท และปัจจุบันค่าการกลั่นขยับสูงขึ้นเกือบ 6 บาทแล้ว ดังนั้นหากนำส่วนต่างของค่าการกลั่นไปลดราคาน้ำมันหน้าปั๊มจะทำให้สามารถช่วยเหลือประชาชน ประหยัดเงินลงได้ 4 บาทต่อลิตรทันที
เป็นการออกมาเปิดตัวเลขค่าโรงกลั่นที่ทำให้สะเทือนวงการน้ำมัน!!!
งานนี้ทำให้โรงกลั่นต้องออกมาชี้แจงถึงตัวเลขที่แท้จริง โดยกลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) (กลุ่มฯ โรงกลั่นฯ) ชี้แจงว่า ในช่วงโควิด-19 (2563-2564) ซึ่งค่าการกลั่นอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าปกติมากๆ เมื่อนำมาเปรียบเทียบ จะทำให้เข้าใจผิดว่าค่าการกลั่นในปัจจุบันเพิ่มสูงขึ้นมากผิดปกติ หากนำข้อมูลค่าการกลั่นที่โรงกลั่นได้รับจริง ในช่วงสถานการณ์ก่อนโควิด-19 ในปี 2561-2562 มาเปรียบเทียบ พบว่า ค่าการกลั่นที่โรงกลั่นได้รับในไตรมาสที่ 1 ปี 2565 สูงขึ้นเพียงประมาณ 0.47 บาทต่อลิตร จากช่วงสถานการณ์ปกติเท่านั้น ซึ่งไม่ได้สูงถึง 10 เท่าและสูงถึง 8 บาทต่อลิตร ,ต้นทุนการกลั่นไม่ได้คงที่ แต่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น เช่น ค่าพรีเมียมของน้ำมันดิบ ค่าขนส่งน้ำมัน ค่าพลังงานที่ใช้ในการกลั่น ค่าแรง และการลงทุนเครื่องจักรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต และโรงกลั่นไม่สามารถกำหนดค่าการกลั่นได้ เนื่องจากค่าการกลั่นเป็นผลลัพธ์จากราคาเฉลี่ยของน้ำมันที่ขายจริงทุกชนิดตามสัดส่วนการผลิต หักด้วยราคาน้ำมันดิบที่ซื้อจริง ซึ่งรวมค่าพรีเมียมของน้ำมันดิบ และค่าใช้จ่ายในการขนส่ง เช่น ค่าขนส่ง และค่าประกันภัย รวมถึงต้องหักค่าพลังงานที่ใช้ในการกลั่น เช่น ค่าความร้อน ค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าสูญเสีย เป็นต้น โดยจะปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงตามราคาน้ำมันในตลาดโลก ซึ่งขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทานของน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปรวมถึงสต๊อกน้ำมัน และสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้นๆ
สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม ส.อ.ท.มีสมาชิก 7 ราย ประกอบด้วย 1.บริษัทไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) 2.บริษัทบางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) 3.บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) 4.บริษัทพีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) 5.บริษัทสตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) 6.บริษัทเอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) 7.บริษัทไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน)
แต่ทั้งนี้หากไล่เลียงตัวอย่างผลกระทบที่เกิดขึ้นจากราคาน้ำมันแพง เริ่มจากเรื่องการเดินทางที่ผู้ประกอบการขนส่ง และบริษัทรถร่วมทั่วประเทศมีมติกำหนดให้ลดเที่ยววิ่งลง 80% ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.นี้ เพราะต้องแบกต้นทุนเพิ่มขึ้นถึงเที่ยวละกว่า 1,600 บาท ,ราคาอาหารตามสั่งต่างๆ ทั้งวัตถุดิบจำพวกเนื้อสัตว์ ผัก พริก เครื่องปรุงรส และก๊าซหุงต้ม ปรับราคาขึ้น โดยเฉพาะน้ำมันพืช จากปกติแพงสุด 35 บาท ขึ้นมาเป็น 70 บาท พริกสดจากกิโลกรัมละ 60 บาท ปรับขึ้นมาเป็น 160 บาท ส่งผลให้ต้นทุนในการประกอบอาหารตามสั่งเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 20 ขณะที่ยอดขายกลับลดลง จำเป็นต้องทยอยปรับขึ้นจานละ 5-10 บาท ,ถ่านบรรจุใส่ถุงพลาสติก จำหน่ายตามร้านค้าในราคาถุงละ 35 บาท จากเดิมถุงละ 30 บาท บางที่ราคาสูงถึงถุงละ 45 -50 บาท ,ค่าปุ๋ย ค่ายาที่ชาวนาต้องควักเงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้น จาก 600 บาท เป็น 1,300 บาท และไม่เว้นแม้แต่ "อาหารน้องหมา-น้องแมว" ที่ปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ย 10-20% โดยก่อนหน้านี้อาหารกระสอบ 15 กิโลกรัม 950 บาท ตอนนี้ปรับเป็น 1,050 บาท และอาหารนำเข้าบางยี่ห้อขาดตลาด ถึงกับต้องมีการจำกัดการส่งให้ผู้ค้ารายย่อย
ทั้งหมดล้วนมาจากราคาน้ำมันแพงไม่หยุด!!!
งานหนักที่รัฐบาลต้องเร่งเยียวยาอุดเลือดไหลได้แล้ว!!!