ด้วยช่วงสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมา ทำให้ผู้ประกอบการทางภาคท่องเที่ยวต่างต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกันอย่างเร่งด่วน ทั้งวางแผนการลดต้นทุน เพิ่มช่องทางหารายได้ รวมถึงการประเมินสถานการณ์เป็นระยะๆ โดยอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ซึ่งรวมถึง เคทีซี หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตรต่าง ๆ นำเสนอแพ็คเกจการเดินทางที่ครอบคลุม สร้างทางเลือกให้กับนักเดินทางหลากหลายมากขึ้น
ปิดพื้นที่การประชาสัมพันธ์
โดย นางสาวเจนจิต ลัดพลี ผู้อำนวยการการตลาดเพื่อการท่องเที่ยวและสันทนาการ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ทางเคทีซี ได้เห็นความสำคัญของการท่องเที่ยวแบบชุมชน จึงได้เปิดพื้นที่ในการประชาสัมพันธ์ ทำหน้าที่เป็นคู่คิดด้านการตลาด เพื่อช่วยสนับสนุนการทำงานของผู้ประกอบการให้เกิดการทำงานที่สะดวกสบายมากขึ้น ซึ่งในปีที่ผ่านมาได้ทำแพลตฟอร์ม หา-เรื่อง-เที่ยว ที่เป็นแพลตฟอร์มข่าวประชาสัมพันธ์แพ็กเกจ โปรโมชั่นด้านการท่องเที่ยวเป็นพื้นที่เข้าถึงลูกค้าได้เร็วขึ้น ขณะที่ช่วงเดือนมีนาคมนี้ ทางเคทีซีเตรียมออกผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อเพิ่มตัวเลือกด้านการท่องเที่ยวให้กับลูกค้าอีกทางหนึ่งด้วย และเตรียมร่วมมือกับแหล่งท่องเที่ยวระดับชุมชน เพื่อออกผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวทางเลือกให้กับนักเดินทาง ตอบโจทย์กระแสการท่องเที่ยวชุมชน และช่วยให้พันธมิตรรายย่อยสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน
แม้ว่าในช่วงวิกฤติโควิด-19 ที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบต่อภาพรวมการใช้บัตรเครดิตเคทีซีในการเดินทางท่องเที่ยว แต่ทางเคทีซีได้ปรับกลยุทธ์ด้านธุรกิจท่องเที่ยวในรูปแบบใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับวิถี New Normal โดยเริ่มจากการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินงานของ KTC World Travel Service ศูนย์บริการการเดินทางและท่องเที่ยวสำหรับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี ที่ให้บริการด้านการท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศอย่างครบวงจร รวมถึงผนึกความร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตรต่าง ๆ อย่างมีระบบ เข้าถึงได้ง่าย
ล่าสุดทางเคทีซีได้ร่วมมือกับสายการบินไทยสมายล์ และเลิฟอันดามัน จัดกิจกรรม Media Fam Trip ขึ้น เพื่อช่วยประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวในจังหวัดตรัง ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้คนไทยและสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี ได้สนับสนุนการท่องเที่ยวในจังหวัดตรังและการท่องเที่ยวภายในประเทศเพิ่มขึ้น
สร้างเครือข่ายพันธมิตรเพิ่ม
ด้านนายอติรัตน์ ด่านภัทรวรวัฒน์ เจ้าของแพ 500 ไร่ (สุราษฎร์ธานี) และนายกสมาคมการค้าธุรกิจที่พักบูติกไทย กล่าวถึงช่วงการระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมา ว่า ในฐานะของผู้ประกอบการเองก็ได้ปรับตัวเพื่อรับมือกับสถานการณ์ ด้วยการสร้างความเข้าใจกับพนักงาน วางแผนการลดต้นทุน เพิ่มช่องทางหารายได้ รวมถึงการประเมินสถานการณ์เป็นระยะ และการสร้างเครือข่ายพันธมิตรให้หลากหลายมากขึ้น
สำหรับสถานการณ์ที่พักบูติคไทยในช่วงที่ผ่านมา นายอติรัตน์ กล่าวว่า มีการเติบโตมากขึ้น เช่น น่าน เป็นเมืองรองที่มีอัตราการเข้าพักขยายตัวเพิ่มขึ้นในช่วงหน้าฝน ส่วนภาคใต้เติบโตเล็กน้อย ยกเว้นผู้ประกอบการที่มีอัตลักษณ์ชัดเจน และเทรนด์การเดินทางในภาคกลาง นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางไปในยังสถานที่ใกล้ ๆ เช่น ประจวบคีรีขันธ์ นครนายก กาญจนบุรี ส่วนการปรับตัวในอนาคตนั้นที่พักบูติคอาจต้องปรับมุมมองต่อตลาดใหม่ โดยไม่พึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง เช่น พร้อมต้อนรับลูกค้าที่มาแบบครอบครัว หรือมาเป็นคู่ กลุ่มเพื่อน เป็นต้น
ขณะที่การท่องเที่ยวเชิงชุมชน นั้นทางผู้ประกอบการ หรือคนในพื้นที่จะต้องเลือกนำเสนอเรื่องราวที่สืบทอดความเป็นชุมชนได้อย่างชัดเจน และเชื่อมั่นในความแตกต่างที่มี พร้อมกับการรวมกลุ่ม รักษาคุณภาพ และคอยประเมินมาตรฐาน ซึ่งน่าจะสามารถทำให้ชุมชนเติบโตได้อย่างยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม นายอติรัตน์ ยังกล่าวต่อว่า ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2565 นี้wfhเตรียมประชาสัมพันธ์เชิงรุกมากขึ้น โดยชูจุดเด่นในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่น่าท่องเที่ยวที่สุดของจังหวัดสุราษฎร์ธานี นอกจากนี้ยังมีแผนเตรียมประชาสัมพันธ์ โดยใช้ บ็อกเกอร์ ผู้สื่อข่าวต่างประเทศ เพื่อสื่อสารไปยังนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศ และตลาดต่างประเทศในไตรมาสที่ 4 กระตุ้นให้เกิดกระแสการเดินทางมาท่องเที่ยวต่อเนื่อง