จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ทุกอุตสาหกรรมต้องปรับตัวและโครงสร้างธุรกิจกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะในธุรกิจโรงแรมที่ต้องหันมามุ่งเน้นตลาดภายในประเทศมากขึ้น ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ ดิ เอราวัณ กรุ๊ป ที่ต้องงัดกลยุทธ์ต่างๆ ขึ้นเพื่อลดความเสี่ยง และสามารถต่อยอดการดำเนินงานได้ต่อไปหลังจากโรคระบาดได้คลี่คลายลง ในเรื่องนี้ นายเพชร ไกรนุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ได้สะท้อนแผนการดำเนินงานได้อย่างน่าสนใจ
ขยายกลุ่มโรงแรมบัดเจ็ท
โดย นายเพชร ไกรนุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ด้วยแผนงานระยะยาวในการเดินหน้าขยายเครือข่ายกลุ่มโรงแรมบัดเจ็ท ภายใต้แบรนด์ฮ็อป อินน์ กลายเป็นเซ็กเมนต์ที่มีผลการดำเนินงานดีทั้งก่อน และในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทได้บริหารงานโดยเน้นการปรับตัวตามสถานการณ์และปรับเปลี่ยนแผนรับมือเพื่อลดผลกระทบและความเสี่ยงต่อการดำเนินธุรกิจอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นปี 2565 นี้บริษัทมีความพร้อมในการเพิ่มโมเดลธุรกิจแฟรนไชส์ เพื่อขยายเครือข่ายและสร้างแบรนด์ฮ็อปอินน์ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ต่อยอดธุรกิจฮ็อปอินน์ซึ่งเน้นการลงทุนและบริหาร จนถึงปัจจุบันสามารถขยายเครือข่ายได้ถึง 47 แห่ง ครอบคลุม 36 จังหวัด
ด้วยการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนทั้งในรูปแบบการลงทุนเองและขายแฟรนไชส์ให้กับผู้ที่มีที่ดินอยู่แล้ว และสนใจลงทุนในธุรกิจโรงแรม ซึ่งจะเปิดให้ผู้ลงทุนเข้าร่วมได้ทั้งรูปแบบสร้างใหม่และปรับปรุงอาคารเดิม ทั้งนี้บริษัทได้เตรียมทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่จะให้คำแนะนำแก่ผู้ลงทุนตั้งแต่ขั้นตอนแรกจนสามารถบริหารโรงแรมได้เองภายใต้มาตรฐานของฮ็อป อินน์ ต่อไปได้ซึ่งปี 2565 ตั้งเป้ามีแฟรนไชส์โรงแรมฮ็อปอินน์ 5 แห่ง
มุ่งเน้นเจาะพื้นที่เมืองรอง
ทั้งนี้ นายเพชร กล่าวว่า ได้ตั้งเป้าเปิดบริการโรงแรมฮ็อปอินน์ในประเทศไทย 100 แห่งในปี 2568 เพื่อขยายสาขาให้ครบ 77 จังหวัด โดยจะมีสัดส่วนการลงทุนและบริหารเองอยู่ที่ 75% ส่วนอีก 25% จะมาจากการขายแฟรนไชส์ 20-30 แห่ง ซึ่งจะมุ่งเน้นเจาะพื้นที่ที่ยังไม่มีโรงแรมฮ็อปอินน์ หรืออำเภอรองต่างๆ
สำหรับรูปแบบการดำเนินงานถ้าเป็นการสร้างใหม่ จะใช้เงินลงทุนประมาณ 7 แสนบาทต่อห้องพัก หรืออยู่ที่ 50-60 ล้านบาทต่อแห่ง ด้วยจำนวนห้องพัก 61-79 ห้อง ใช้เวลาก่อสร้างประมาณหนึ่งปี ส่วนการปรับปรุงอาคารเดิม นั้นจะมีรายละเอียดปลีกย่อยลงไป เช่นจะต้องมีห้องพักไม่น้อยกว่า 60 ห้อง และจะต้องไม่ติดขัดเรื่องข้อกฎหมาย โดยจะใช้เวลาปรับปรุงประมาณหนึ่งเดือน ในแต่สถานที่จะมีจำนวนพนักงานประมาณ 15 คนต่อแห่งเพื่อประสิทธิภาพการบริหารงานและต้นทุนที่ต้องใช้เวลาคืนทุน 7-9 ปี
อย่างไรก็ตาม นายเพชร ได้กล่าวต่อว่า รูปแบบแฟรนไชส์นี้จะเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยขยายเครือข่ายโรงแรมฮ็อปอินน์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกได้เร็วขึ้น โดยทางบริษัทฯ มีแผนที่จะหารือกับนักลงทุนรายใหญ่ในประเทศต่างๆ เพื่อตั้งให้เป็น มาสเตอร์แฟรนไชส์ เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย กัมพูชา ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น โดยเฉพาะประเทศฟิลิปปินส์ ที่ทางบริษัทฯ ได้เข้าไปลงทุนขยายโรงแรมแล้ว ปัจจุบันมีด์ฮ็อป อินน์ 6 แห่ง และจะเพิ่มเป็น 15 แห่งภายในปี 2568 โดยจะนำแฟรนไชส์ไปขยายโรงแรมฮ็อปอินน์ในเมืองที่มีศักยภาพ
สำหรับภาพรวมปี 2565 บริษัทเดินหน้าเปิดโรงแรม 9 แห่ง ใช้เงินลงทุนรวม 800 ล้านบาท เป็นโรงแรมฮ็อปอินน์ในไทย 7 แห่ง ได้แก่ กรุงเทพฯ 3 แห่งใกล้สถานีรถไฟฟ้าอ่อนนุช บางนา และกรุงธนบุรี รวมถึงจังหวัดน่าน ชัยภูมิ มหาสารคาม และนครราชสีมา ส่วนประเทศฟิลิปปินส์จะเปิดอีก 2 แห่งแบบคอมโบโฮเทล (Combo Hotels)หรือมี2แบรนด์โรงแรมในอาคารเดียว ประกอบด้วยฮอลิเดย์ อินน์ และ ฮ็อปอินน์ เซบู บิสสิเนสพาร์ค
ทำตลาดในประเทศรอฟื้นตัว
พร้อมกันนี้ นายเพชร ยังกล่าวถึงสถานะการเงินของดิ เอราวัณ กรุ๊ป ว่า ยังแข็งแกร่ง เพราะช่วงสิ้นปี 2564 ยังมีกระแสเงินสด 1,242 ล้านบาท และ Available Credit Facilities วงเงิน 5,455 ล้านบาท เตรียมพร้อมสำหรับการดำเนินธุรกิจ ส่วนหนึ่งจะเป็นการลงทุนสร้างการเติบโตกลุ่มโรงแรมฮ็อปอินน์โดยมุ่งเพิ่มสัดส่วนกำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA) ของกลุ่มโรงแรมฮ็อปอินน์มากกว่า 40% ของโรงแรมทั้งหมดในเครือภายในปี 2568 จากปัจจุบันมีสัดส่วน 10%
ซึ่งในช่วง 2-3 ปีนี้ ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จะมุ่งเน้นทำตลาดในประเทศ เนื่องจากต้องรอการฟื้นตัวในภาคการท่องเที่ยวสะกระยะหนึ่ง โดยเแพาะการพิจารณาปลดล็อกเงื่อนไขการเดินทางที่สะดวกสบายมากกว่าที่เป็นอยู่ ก็คาดว่าธุรกิจของดิเอราวัณกรุ๊ปจะกลับมาเป็นเหมือนปี 2562 อย่างแน่นอน