ชื่อของ “ราล์ฟ รังนิค” เป็นข่าวใหญ่ในวงการฟุตบอลอยู่นานหลายสัปดาห์ ก่อนที่เจ้าตัวจะตัดสินใจเข้ามาคุมทีมแบบชั่วคราวให้กับ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยอดทีมในศึกพรีเมียร์ลีกประเทศอังกฤษ แทนที่ “โอเล่ กุนนาร์ โซลชา” ที่ทำผลงานได้ย่ำแย่พาทีมหล่นมาอยู่กลางตารางคะแนน จนถูกบอร์ดบริหารลงมติปลดพ้นเก้าอี้นายใหญ่ในถิ่นโอลด์แทรฟฟอร์ด
สำหรับ กุนซือชาวเยอรมัน วัย 63 ปี เป็นบุคคลที่ช่วยเปลี่ยนโฉมวงการฟุตบอล"อินทรีเหล็ก" ด้วยการนำแท็กติก "เกเก้น เพรสซิ่ง" มาใช้ในสมัยคุมทีมครั้งแรกกับสโมสร อูล์ม เมื่อฤดูกาล 1998-99 และสามารถพาทีมคว้าตั๋วเลื่อนชั้นสู่บุนเดสลีกาเป็นหนแรกในประวัติศาสตร์ ก่อนจะย้ายไปคุมทีม"ม้าขาว" สตุตการ์ต หลังจากนั้นก็ข้ามไปคุมทีม ฮันโนเวอร์, ชาลเก, ฮอฟเฟนไฮม์ และ แอร์เบ ไลป์ซิก
ระบบการเล่นฟุตบอลแบบ "เกเก้น เพรสซิ่ง" ได้กลายเป็นต้นแบบแห่งความสำเร็จในวงการลูกหนังเมืองเบียร์ และแพร่หลายไปยังหลายสโมสรในลีกอื่นของยุโรป รวมทั้งบรรดากุนซืออย่าง เจอร์เกน คล็อปป์ , โธมัส ทูเคิ่ล และยูเลียน นาเกิ้ลส์มันน์ ก็ได้นำแท็กติกนี้ไปปรับใช้จนมีชื่อเสียงโด่งดังในปัจจุบันนี้
การมาของ "ราล์ฟ รังนิค" สร้างความปีติยินดีให้กับเหล่าสาวก "เรด เดวิล" เป็นอย่างมาก เนื่องจากคาดหวังกันว่า เจ้าของฉายา "เดอะ โปรเฟสเซอร์" ที่มีดีกรีระดับตำนาน จะเข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลงระบบการเล่น นำพาทีมขวัญใจของพวกเขากลับมาทวงความยิ่งใหญ่ในเกาะอังกฤษได้อีกครั้ง
แต่ไม่เป็นเช่นนั้น "ปีศาจแดง" ไม่ชนะใครมา 3 เกมติด โดยบุกไปโดน เบิร์นลีย์ ไล่ตีเสมอ 1-1 ในพรีเมียร์ลีก หลังจากที่แพ้ มิดเดิลสโบรห์ ในการดวลจุดโทษ และตกรอบ 4 เอฟเอ คัพ และเล่นในบ้านตัวเองเกมพรีเมียร์ลีกถูก เซาแธมป์ตัน ไล่ตีเสมอ 1-1 ทำให้ทีมร่วงไปอยู่ อันดับ 5 ของตารางคะแนน แถมนักเตะบางคนยังเล่นไม่เอาอ่าว
ในหลายเกมที่ผ่านมา มีนักเตะหลายคนที่เล่นต่ำกว่ามาตรฐาน เล่นไม่เป็นทีม เหมือนไร้ระบบ ต่างคนต่างวิ่ง โดยเฉพาะ "แฮร์รี แม็คไกวร์" ที่มีค่าตัวแพงระยับ ตกเป็นเป้าโจมตีของแฟนบอลอยู่บ่อยครั้งในช่วงหลัง เนื่องจากฟอร์มการเล่นในสนามที่ต่ำกว่ามาตรฐาน และไม่คุ้มกับค่าตัวกว่า 80 ล้านปอนด์ ที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยอมจ่ายเป็นค่าฉีกสัญญา เพื่อดึงตัวมาร่วมทีมเมื่อปี 2019 กระทั่งมีแฟนบอลบางส่วนที่เรียกร้องให้ปลดแข้งดังรายนี้ ออกจากตำแหน่งกัปตันทีม
ส่วน "คริสเตียโน่ โรนัลโด้" ซูเปอร์สตาร์ของทีม ที่ย้ายมาจาก ยูเวนตุส เป็นอีกหนึ่งคนที่ผลงานไม่ดีนัก ยิงประตูไม่ได้มา 6 เกมติดต่อกันรวมทุกรายการ นับว่าเป็นครั้งแรกในรอบ 13 ปี ที่เขายิงประตูไม่ได้ ยาวนานขนาดนี้ เรียกได้ว่าตั้งแต่อายุครบ 37 ปี ก็ยังยิงประตูไม่ได้เลย โดยในช่วงที่ "ไมเคิล คาร์ริค" คุมทีมชั่วคราว 3 นัด โรนัลโด้ ยิงได้ 3 ประตู แต่หลังจากที่ ราล์ฟ รังนิค เข้ามาสานงานต่อ โรนัลโด้ ลงเล่นไป 11 เกม ยิงได้แค่ 2 ประตูเท่านั้น
ล่าสุด สื่อในเกาะอังกฤษ ออกมาตีข่าวว่า ดาวยิงวัย 37 ปี นั้นเริ่มคิดถึงการตัดสินใจที่จะอำลา "ปีศาจแดง" ในช่วงซัมเมอร์นี้ แม้ว่าจะเหลือสัญญาในถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด ถึงปี 2023 ก็ตาม พร้อมกับได้แจ้งกับเพื่อนร่วมทีมว่า เขานั้น เริ่มรู้สึกว่าอายุของตัวเองนั้นมากแล้ว แม้จะยังมีวินัยในเรื่องการคุมอาหาร และการฝึกซ้อมอย่างหนักตามเดิมก็ตาม เนื่องจากการเล่นในพรีเมียร์ลีก นั้นต้องใช้ร่างกายและพละกำลังอย่างหนักกว่าลีกอื่นๆ นั่นเอง
นอกจากนี้ ยังมีนัดเตะอีกหลายคนที่ฟอร์ม "ผีเข้า ผีออก" ได้แก่ "ลุค ชอว์" รวมไปถึง "สกอตต์ แม็คโทมิเนย์" และ "ปอล ป็อกบา" โดยทั้งหมดนี้เป็นแกนหลักของทีม แต่มาตรฐานการเล่นที่ไม่แน่นอน บางนัดเล่นดี บางนัดเหมือนเล่นไม่ได้เลย ไม่แตกต่างจากกุนซือคนก่อนๆ ทำให้บรรดาแฟนคลับบางกลุ่มต้องออกวิพากษ์วิจารณ์ ว่า "ราล์ฟ รังนิค" คือของจริงหรือไม่...?
หากย้อนกลับไปดูสถิติที่ "ราล์ฟ รังนิค" คุมทีมแมนฯยู ลงเล่นในพรีเมียร์ลีก 9 นัด ชนะถึง 5 นัด เสมอ 3 นัด และแพ้ 1 นัด ถือว่า ขณะที่คุมทุกรายการ 12 นัด แพ้แค่นัดเดียว ชนะ 6 และเสมอ 5 นัด และหากมองอย่างเป็นธรรม กับเวลาที่น้อยมากในการเข้ามานั่งกุนซือในถิ่นโอลด์แทรฟฟอร์ด ถือว่า "ไม่ขี้เหร่"เลย