สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบธุรกิจการท่องเที่ยวในประเทศไทย ไตรมาส 4/2564 เท่ากับ 47 เป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นถึงสถานการณ์ท่องเที่ยวที่อยู่ในระดับที่ตํ่ากว่าปกติมากที่สุด แต่ก็ยังดีขึ้นกว่าไตรมาสที่ 3/2564 ค่าดัชนีอยู่ที่ระดับ 7 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นคาดการณ์ไตรมาส 1/2565 เท่ากับ 63 สะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการคาดว่าในไตรมาส 1/2565 สถานการณ์ท่องเที่ยวน่าจะดีกว่าไตรมาส 4/2564 โดยมีจํานวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในไตรมาส 4/2564 อยู่ที่ 342,024 คน รวมทั้งปี 2564 เป็นจำนวน 427,869 คน สร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งปีประมาณ 37,739.44 ล้านบาท โดยภาคเหนือมีสถานการณ์ดีกว่าภูมิภาคอื่น ตามมาด้วยกรุงเทพมหานคร ภาคตะวันออก ภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตามลําดับ ไตรมาส 4/2564 เนื่องจากมีสถานประกอบการเปิดบริการตามปกติเพิ่มมากขึ้นเป็น 76% (ไตรมาส 3/2564 เปิด51%) โดยตลอดทั้งปี 2564 มีสถานประกอบการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ปิดถาวรประมาณร้อยละ 6 รายได้ของสถานประกอบการในภาพรวมของไตรมาส 4/2564 อยู่ที่ 18% จากสภาวะปกติ ซึ่งดีขึ้นกว่าไตรมาส 2/2564 ประมาณ 10% และ 3/2564 ประมาณ 9% แต่ยังตํ่ากว่าไตรมาส 1/2564 ( 22%) ไตรมาสนี้ธุรกิจโรงแรม/ที่พัก เปิดทําการปกติ 86% มีอัตราการเข้าพักในภาพรวมทั่วประเทศ เฉลี่ย 32% ซึ่งเป็นอัตราการเข้าพักที่ดีที่สุดของปีนี้ โดยภาคเหนือมีอัตราการเข้าพักสูงที่สุด ( 39%) รองลงมาเป็นกรุงเทพมหานคร (36%) ภาคใต้ และภาคตะวันออก (33%) ตามลําดับ ส่วนภาคกลาง มีอัตราการเข้าพักตํ่าที่สุด ( 25%) โดยพบว่าธุรกิจโรงแรม/ที่พักที่เปิดทําการเกินกว่ากึ่งหนึ่ง (57%) ยังมีอยู่ในสภาวะขาดทุนหรือไม่มีกำไร แต่ยังเปิดทำการเพื่อประคองธุรกิจและรักษาแรงงานเอาไว้เท่านั้น ส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยประมาณ 80,926 บาท/คน/ทริป ซึ่งสูงกว่าก่อนที่จะมีวิกฤตโควิด-19 ชำนาญ ศรีสวัสดิ์ ซึ่ง นายชำนาญ ศรีสวัสดิ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ด้วยรัฐบาลพยายามสร้างสมดุลทั้งด้านความปลอดภัยและการเดินหน้าเศรษฐกิจ โดยจะเห็นได้ชัดว่าเมื่อตัวเลขความรุนแรงของโอไมครอนลดลง ศบค. ได้มีการประกาศเปิด Test & Go ทันที อย่างมีระบบ ดังนั้น สทท. มั่นใจว่าปี 2022 นี้จะสามารถพลิกฟื้นให้การท่องเที่ยวไทยกลับมาเดินหน้า และเป็นผู้นำของโลกได้อีกครั้ง ทั้งนี้พร้อมที่จะเดินหน้าตามนโยบาย Amazing Thailand New Chapter ของนายกรัฐมนตรี และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) "สิ่งที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ร้องขอมี 2 เรื่องหลัก คือ ความมั่นคงทางนโยบาย และการสนับสนุนในการ Restart ธุรกิจ โดยปัจจุบันประเทศไทยมีมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เข้มแข็งมากและดีมากแล้วใน 3 ด้านได้แก่ การคัดกรองนักท่องเที่ยวต่างชาติ การจัดการในสถานประกอบการ และการฉีดวัคซีนให้ประชาชน ภาครัฐจึงควรมั่นใจในมาตรการเหล่านี้และให้ความสนใจกับการบังคับใช้มากกว่าการที่จะเปลี่ยนแปลงมาตรการบ่อยๆ เพราะการท่องเที่ยวต้องการความต่อเนื่องเพราะต้องมีการวางแผนในระยะยาวทั้งด้านกำลังคน การลงทุนและการตลาด และในการกลับมา Restart ธุรกิจใหม่อีกครั้ง อีกทั้งสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องการที่สุดคือเงินทุนและองค์ความรู้ในการปรับธุรกิจเพื่อรองรับการท่องเที่ยวยุคใหม่ที่เปลี่ยนไปจากเดิมมาก" นายชำนาญ กล่าว มาริสา สุโกศล หนุนภักดี ด้านนางมาริสา สุโกศล หนุนภักดี รองประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า คนท่องเที่ยวเปรียบเสมือนคนหนุ่มที่เคยแข็งแรง ทำงานได้ดีเยี่ยมหาเงินเลี้ยงครอบครัวมาโดยตลอด แต่ต้องเจออุบัติเหตุเข้าไปอยู่โรงพยาบาล 2 ปี วันนี้คนหนุ่มคนนี้ หายดีแล้ว กำลังจะกลับมาทำงานเป็นกำลังสำคัญอีกครั้ง แต่ 2 ปีที่ผ่านมา โลกเปลี่ยนไปมาก จึงจำเป็นต้องทำการ Reskill / Upskill ใหม่ จำเป็นต้องพัฒนา ทั้งด้านสินค้า การเงิน การตลาด เทคโนโลยี ดังนั้นจึงต้องใช้คำว่า Tourism Clinic เพราะต้องการทีมคุณหมอ มีพยาบาลมาช่วยฟื้นฟูทั้งร่างกายและจิตใจ ให้ถูกโรค ให้ถูกปัญหา โดย สทท. เชื่อมั่นว่า Tourism Clinic จะเป็นหัวใจสำคัญในการพลิกฟื้นให้ท่องเที่ยวไทยกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง ด้วยการทำตั้งแต่ การรวบรวมปัญหาช่วยเยียวยา เร่งพัฒนา ออกแบบแผนการฟื้นฟู ให้เหมาะสมกับผู้ประกอบการแต่ละกลุ่มอาชีพ แต่ละพื้นที่ แต่ละราย ที่มีปัญหาแตกต่างกัน โดยใช้ผู้เชี่ยวชาญ ทั้งภาควิชาการและภาคประสบการณ์เข้ามาช่วยให้ถูกจุด เพื่อให้ทุกคนกลับมาเข้มแข็ง ซึ่งปัจจุบันได้เริ่มทำโครงการนำร่องที่ภูเก็ต กระบี่ พังงา และกำลังจะมีการดำเนินการต่อเนื่องทั่วประเทศ วิชิต ประกอบโกศล ส่วนนายวิชิต ประกอบโกศล รองประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยด้านการตลาด กล่าวว่า ในปีนี้จะต้องมุ่งเน้นการขยายตลาดเชิงรุกทั้งแบบ G2G คือการสร้าง Travel Bubble และเปิดน่านฟ้ากับประเทศต่าง ๆ มากขึ้น สัปดาห์ที่ผ่านมา และการกลับมากระชับความสัมพันธ์กับประเทศซาอุดิอาราเบีย ซึ่งผู้ประกอบการก็ให้ความสนใจอย่างมากทั้งในเรื่องการพัฒนาการท่องเที่ยวแบบ Halal และ Medical & Wellness โดย สทท. จะเร่งส่งเสริมการสร้าง B2B Partner – Roadshow ผ่านสมาคม / เครือข่ายผู้ประกอบการ รวมไปจนถึงการพัฒนาและนำเสนอสินค้าเพื่อเจาะตลาดกลุ่มใหม่ ที่มีมูลค่าสูงขึ้น เช่น Gastronomy / สายมู / GLBT / Wedding / Responsible / Workation และใช้ช่องทางการตลาดและสื่อการตลาดแบบใหม่ผสมผสาน Offline – Online และ Metaverse โดยเราจะมีการตั้งคณะทำงานทูตการท่องเที่ยวเจาะตลาดเชิงรุกร่วมกัน ของ ททท. และ สทท. เพื่อเจรจาสร้างโอกาส ลดอุปสรรค และเดินหน้าเปิดเกมรุกก่อนใครกับประเทศกลุ่มเป้าหมาย ทั้งผ่าน ททท. Travel Agency และ Influencer, Digital Media เป็นต้น