ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต
Blue-Theatre@hotmail.com
“โลกแห่ง ความหวัง ความฝัน และแรงบันดาลใจของมนุษย์ มักจะเกิดขึ้นเสมอตราบใดที่ชีวิตแต่ละชีวิตต้องเผชิญอยู่กับภาวะแวดล้อมทั้งภายนอกภายในอันเป็นตัวบ่มเพาะถึงทรรศนะแห่งการอยู่ร่วมตลอดจนการแก้ปัญหาอันเป็นวิกฤติที่ลึกซึ้ง ตลอด100ปีแห่งศตวรรษที่ 20 ซึ่งเพิ่งจะผ่านพ้นไปได้ไม่นาน นักปริศนาในทางความคิดมากมาย ได้เกิดขึ้นท่ามกลางปมหายนะที่ขบไม่แตก...จิตสำนึกที่ล้มคว่ำล้มหงายทางอคติ หรือการดำรงอยู่อันจับต้นชนปลายไม่ถูกด้วยแง่มุมที่เต็มไปด้วยปัญหาอันเนื่องมาแต่ความเห็นแก่ตัว...สภาวะโดยรวมของโลกดูสับสนวุ่นวาย จนหลายขณะก็เหมือนจะจนมุมอยู่กับตัวเองไร้ทางออกที่จะแก้ไข ทั้งๆที่โดยเปลือกนอกแล้วความเจริญรุ่งเรืองของโลกแห่งวัตถุและเทคโนโลยี ได้ก้าวกระโดดผ่านพ้นความสำเร็จไปอย่างน่าพิศวง...โลกทั้งโลกจึงมีชีวิตอยู่ร่วมกันด้วยบริบทแห่งการเผชิญหน้าของผู้คนที่แตกต่างจนในที่สุด..เหล่าบรรดานักคิดทั้งหลายก็ได้สะท้อนแนวคิดแห่งเจตจำนงของการพินิจเคราะห์โลกในวิถีของการมีอยู่และเป็นอยู่พร้อมกับการสร้างมิติแห่งการหยั่งเห็นของอนาคตให้เกิดขึ้นมาพร้อมกับรอยทางแห่งการเปิดเผยและเยียวยาบาดแผลของยุคสมัยให้บรรเทาเบาบางลงด้วยมิติความเชื่อของศรัทธาในแต่ละศรัทธา กระทั่งบังเกิดเป็นวิสัยทัศน์แห่งศตวรรษอันมีค่าต่อการรับรู้และศึกษากันอย่างรอบด้านในที่สุด...”
“ความหวัง ความฝัน แรงบันดาลใจ...100ผู้นำวิสัยทัศน์แห่งศตวรรษที่20” (Visionaries :The 20th Century’s the most important leaders) โดยนักคิดด้านสิ่งแวดล้อม นักคิดด้านสังคมและนักคิดด้านจิตวิญญาณ...นับเป็นหนังสือที่รวมกระบวนความคิดอันล้ำค่าแห่งยุคสมัยของเราไว้ด้วยบุคคลอันเป็นประโยชน์และมีชีวิตเพื่อยุคสมัยที่มองเห็นวิถีแห่งโลกทั้งด้วยสายตาและหัวใจที่โอบอ้อมและห่วงใย...นั่นอาจเพราะว่า “ศตวรรษที่ 20 เป็นศตวรรษแห่งการบังเกิดสงครามใหม่ ซึ่งส่งผลต่อความพินาศของโลกอย่างรุนแรงในหลายหลายมิติ...ไม่ว่าจะเป็นสงครามในสังคมมนุษย์ด้วยกันเอง...รวมทั้งสงครามอันตรายที่มนุษย์กระทำต่อธรรมชาติ...สงครามทั้งสองประเภทนี้แท้จริงแล้วต่างเกี่ยวข้องกันโดยเฉพาะด้วยกรอบแห่งความคิดของตัวตนมนุษย์ในเรื่องของการพิชิต การควบคุม การครอบงำหรือการปราบปรามผู้อื่นทั้งนี้เพื่อผลประโยชน์อันคับแคบเฉพาะตนที่นำไปสู่ความเป็นสงคราม...สภาวะอันโหดร้ายที่ต้องทำให้มนุษย์นับล้านคนต้องถูกฆ่าตาย”
ปรากฏการณ์อันขัดแย้งกับศีลธรรมดังกล่าวยังตอกย้ำให้ได้เห็นถึงว่า...มนุษย์โดยรวมต่างจงใจที่จะสร้างหายนะให้เกิดแก่โลกธรรมชาติจนเป็นเหตุให้สิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆบนโลกนี้สูญพันธุ์...เป็นการทำลาย ความหลากหลายทางชีวภาพลงอย่างสิ้นเชิง...ทุนทางธรรมชาติถูกย่ำยี จนนำไปสู่การบั่นทอนความยั่งยืนของชั้นบรรยากาศที่เป็นสาเหตุอันกลืนไม่เข้าคลายไม่ออกของการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศและบังเกิดสภาวะโลกร้อนขึ้นอันถือเป็นโศกนาฏกรรมที่ขยายผลและจบไม่ลงมาจนถึงขณะนี้
“สาทิศ กุมาร”...ชาวอินเดียซึ่งเคยบวชเรียนเมื่ออายุ 9 ขวบก่อนที่จะสึกออกมาเป็นสานุศิษย์ของ “วิโนภา ภาเว”เพื่อการทำงานด้านสันติวิธีและการปฏิรูปที่ดินเพื่อผู้ยากไร้กระทั่งปี ค.ศ. 1962...เขาได้รับแรงบันดาลใจจากนักคณิตศาสตร์ชื่อก้องโลกเจ้าของทรรศนะ “ความรู้ต้องอยู่ในมือของความรัก”...เบอทรันด์ รัสเซล...ในแนวทางอารยขัดขืน...และทำให้เขาตัดสินใจเดินเท้า.. “จารึกเพื่อสันติภาพ” โดยปราศจากทรัพย์สินจากบังกาลอร์ ประเทศอินเดีย ไปยัง 4 ประเทศมหาอำนาจด้านระเบิดปรมาณู นั่นคือ มอสโก (รัสเซีย) ปารีส(ฝรั่งเศส) ลอนดอน (อังกฤษ) และ วอชิงตัน ดี.ซี. (สหรัฐฯ) อันเป็นที่มาของหนังสืออันลือลั่นของเขา “นักเดินทางแปดพันไมล์” เขารับหน้าที่เป็นบรรณาธิการของหนังสือแห่งวิสัยทัศน์เล่มนี้...แน่นอนว่าโดยส่วนตัวเขาเคยผ่านความหวัง ความฝันและแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่มาก่อน แรงผลักดันจากสิ่งเหล่านี้...ถือเป็นจุดกำเนิดของหนังสืออันมีค่านี้ขึ้นมาทั้งด้วยคุณค่าของตัวเจ้าของวิสัยทัศน์ และด้วยความตั้งใจของผู้เขียนถึงในแต่ละคน...ที่สาทิศ กุมารได้เลือกสรรและรวบรวมไว้อย่างสอดคล้องต้องกัน...มิติของการต่อสู้และเรียกร้องต่อความท้าทายในปัญหาของแต่ละคนอาจมีบริบทที่แตกต่างกันแต่ทุกคนก็ล้วนดำเนินบทบาทในเชิงสันติวิธี “อาวุธของบุคคลเหล่านี้คือคมปัญญาที่เป็นทั้ง...พุทธปัญญา ญาณหยั่งรู้ มโนทัศน์ และเหนืออื่นใดคือมโนธรรมสำนึกอันเป็นจิตสาธารณะ ผนวกกับวิสัยทัศน์และความหวังที่มีต่อมนุษยชาติรวมทั้งโลกใบนี้...” ว่ากันว่า...ผู้นำเหล่านี้ล้วนเป็นผู้บุกเบิกที่บางครั้งก็มาก่อนเวลาแห่งยุคศตวรรษที่20...สาทิศ กุมาร ในฐานะบรรณาธิการได้จัดวางเรื่องราวแห่งวิสัยทัศน์ของนักคิดเหล่านี้ที่สื่อสารผ่านความเรียงสั้นๆ จากผู้เขียนที่ใกล้ชิดหรือได้รับแรงดลใจจากแนวคิดตลอดจนมุมมองที่ลึกซึ้งในประสบการณ์นิยมส่วนตน...ตัวอย่างอันหลากหลายต่อไปนี้คือนัยอันทรงคุณค่า...ที่ทำให้หนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยอรรถประโยชน์แห่งการคิดและการอ่านที่เต็มไปด้วยแง่งามแห่งการหยั่งรู้ชีวิต..
ในด้านสิ่งแวดล้อม... “นักโลกวิทยา”...ราเชล คาร์สัน...ได้กล่าวเอาไว้ในเชิงวิพากษ์วิจารณ์ว่า... “การควบคุมธรรมชาติ เป็นวลีที่เกิดจากความอหังการ์ เป็นผลผลิตทางชีววิทยาและปรัชญาโบราณ ที่ตีขลุมว่าธรรมชาติมีไว้เพื่อความสะดวกสบายของมนุษย์”...ราเชล คาร์สัน...ได้เขียนหนังสือชื่อ “Silent spring” ซึ่งรู้จักกันในภาคภาษาไทยว่า “เงามฤตยู” สาระของหนังสือเล่มนี้คือการต่อต้านคัดค้าน...การฉีดพ่นดีดีทีทางอากาศลงสู่เมือง...ตลอดจนพื้นที่ทางการเกษตรและป่าไม้ของอเมริกา...หนังสือเล่มนี้ของเธอถูกขัดขวางในการจัดพิมพ์อย่างหนักจากเจ้าหน้าที่ด้านสิ่งแวดล้อมของรัฐ แต่ในฐานะนักธรรมชาติวิทยาซึ่งเป็นที่รักของผู้คน...หนังสือเล่มนี้ก็ถูกจัดพิมพ์ขึ้นมาจนได้ในที่สุด...มันส่งผลให้นโยบายของรัฐบาลสหรัฐในด้านสารเคมีกำจัดศัตรูพืชเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญแต่ถึงกระนั้น... วัตถุประสงค์ที่กว้างกว่าอันเป็นสิ่งที่เธอมุ่งหวังเพื่อเปลี่ยนแปลงความคิดพื้นฐานของมนุษย์ในเรื่องความสัมพันธ์กับโลกธรรมชาตินั้น...แทบจะไม่มีใครตระหนักเลยทั้งๆที่ “สิ่งที่ศตวรรษที่20ต้องการคือวิธีคิดอย่างใหม่เกี่ยวกับโลก” ราเชล คาร์สัน...ไม่เพียงแต่เรียกร้องให้ยุติการใช้สารเคมีกำจัดแมลงอย่างไม่บันยะบันยัง แต่เธอเรียกร้องให้โลกต้องมีศาสตร์ใหม่ ปรัชญาใหม่ “ขณะนี้เรายืนอยู่ตรงทางแยก มันไม่เหมือนถนนในบทกวีของ โรเบิร์ต ฟรอสต์ ที่คุ้นเคยกันดี มันไม่ได้สวยงามอย่างนั้น ถนนสายที่เราใช้เดินทางมานานแล้วนี้ ลวงตาว่าเดินทางไปได้ง่ายเหมือนซุปเปอร์ไฮเวย์ ราบเรียบให้เรามุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง แต่ที่ปลายทางกลับมีหายนะรออยู่ ส่วนที่ถนนอีกสายที่ไม่ค่อยได้ใช้กันนัก ให้โอกาสสุดท้าย และโอกาสเดียวแก่เราที่จะไปถึงจุดหมายปลายทางอย่างมั่นใจได้ว่า โลกจะได้รับการคุ้มครองให้คงอยู่สืบไป”...โดยแท้จริง...ราเชล คาร์สัน ไม่ได้อยากเขียนหนังสือ “Silent spring” แต่อย่างใด...แม้ว่าเธอจะรับรู้ด้วยความเจ็บปวดด้วยภาวการณ์ต่างๆที่กลายมาเป็นสาระสำคัญของหนังสือเล่มนี้ โดยเฉพาะการขาดสำนึกรับผิดชอบขั้นพื้นฐานของสังคมอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีต่อโลกธรรมชาติ...เธอรู้มาแต่แรกแล้วว่าหนังสือเล่มนี้จะต้องถูกต่อต้านโจมตีจากหน่วยงานของรัฐบาล จะต้องถูกใส่ร้ายป้ายสีในทุกๆวิถีทาง ทั้งจากมูลนิธิด้านโภชนาการ หรือแม้แต่ผู้ผลิตอาหารสำหรับทารก...แต่ราเชล คาร์สัน...ก็ไม่ได้กลัวท่าทีแห่งการข่มขู่เหล่านั้น...เธอปฏิเสธที่จะปกป้องฐานะตนเองและเชื่อว่าหนังสือเล่มนี้จะดูแลตัวมันเองได้...เหตุนี้เธอจึงถือโอกาสย้ำเตือนโลกถึงนัยที่ซ่อนอยู่ในงานของเธอ “เรายังพูดกันในแง่ของการพิชิต...เรายังไม่โตพอที่จะคิดว่าตัวเราเองเป็นแค่ส่วนเล็กๆของจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลและน่าตื่นตาตื่นใจ ทุกวันนี้ท่าทีของมนุษย์ต่อธรรมชาติมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะว่าตอนนี้เรามีอำนาจทำลายล้างธรรมชาติได้...แต่มนุษย์ก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ...สงครามที่มนุษย์ทำกับธรรมชาติ จึงเป็นการทำสงครามกับตัวเองอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง” วาทะดังกล่าวนี้...ราเชล คาร์สัน...ได้กล่าว เอาไว้กว่า 40 ปีมาแล้ว...แต่มันก็ยังทรงอิทธิพลต่อสำนึกคิด และการกำหนดวิสัยทัศน์อันมีค่าแห่งความคิดคำนึงอยู่เสมอ
“แต่ทุกปีที่ล่วงผ่านไป ฤดูใบไม้ผลิเงียบงันลงทีละน้อย นกกระจอก นกกระจิบ ที่เคยมีอยู่มากมายในชนบทของเราค่อยๆล้มหายตายจากไป โดยเฉพาะในฟาร์มขนาดใหญ่ที่มุ่งแสวงหาผลกำไรซึ่งรัฐบาลดูจะโปรดปรานนัก”
ในทางด้านสังคม...ตัวอย่างจากนักคิด นักปฏิบัติทางสังคมผิวดำคนสำคาญ “มาร์ติน ลูเธอร์ คิง” ที่ได้กล่าวสุนทรพจนี้อันเลื่องชื่อที่ว่า “ข้าพเจ้ามีความฝัน”...อันกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับมวลชนจำนวนมาก และทำให้สถานะของเขาได้ไปยืนอยู่ตรงแถวหน้าเป็น “มโนสำนึกของชาติ”โดยเฉพาะกับคนอเมริกันผิวดำ และบรรดาผู้ถูกหมิ่นแคลน ทั้งหลายให้ได้ตระหนักถึงศักดิ์ศรีของตน...จนกระทั่งถึงวันนี้...50ปีล่วงผ่านมา...อเมริกาก็ได้มีประธานาธิบดีที่มีผิวสีดำเป็นคนแรก...โดยก่อนหน้านี้ไม่มีใครเคยคิดว่า...ความฝันนี้จะบังเกิดเป็นจริงขึ้นมาได้...หากไม่มีผู้ที่กล้าฝันอย่าง “มาร์ติน ลูเธอร์ คิง” ซึ่งได้ลงมือแผ้วถางหนทางในเรื่องสิทธิมนุษยชน ศักดิ์ศรี และความเท่าเทียมเอาไว้“ข้าพเจ้าเชื่อว่าสัจจะที่ปราศจากอาวุธ และความรักที่ปราศจากเงื่อนไข ย่อมเป็นตัวที่ชี้ขาดความจริง...ความถูกต้องซึ่งพ่ายแพ้ชั่วคราวจึงย่อมเข้มแข็งกว่าชัยชนะที่ชั่วร้าย”...ในปาฐกถาที่โบสถ์ริเวอร์ไซด์ในนิวยอร์กชิตี เขาได้กล่าวประณามสหรัฐอเมริกาว่าเป็น “พ่อค้าความรุนแรงรายใหญ่ที่สุดในโลกปัจจุบัน และเรียกร้องให้หยุดยิงฝ่ายเดียว แล้วถอนทหารออกจากเวียดนาม...รวมทั้งเรียกร้องให้คนอเมริกันเอาชนะสิ่งที่เขาเรียกว่า “สามแฝดยักษ์ คือการเหยียดเชื้อชาติ วัตถุนิยม และระบอบทหาร...
ในส่วนของนักคิดทางด้านจิตวิญญาณ “โจอันนา เมซี่...” นักกิจกรรมเสริมสร้างอำนาจผู้กล่าววาทกรรมอันครอบคลุมและยิ่งใหญ่ว่า “หัวใจอันเปิดกว้างสามารถบรรจุจักรวาลได้ทั้งหมด...”...เธอเป็นชาวพุทธ เป็นนักกิจกรรม เป็นนักวิชาการและเป็นครู...ในรอบ20ปีที่ผ่านมานี้ เธอทำงานไปทั่วโลก...ด้วยการพูดถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมทั่วโลกกับวิกฤตด้านจิตวิญญาณ...เธอนำส่วนผสมที่ทรงพลังระหว่างความรู้ดื่มด่ำล้ำลึก ความแจ่มแจ้งทางสติปัญญา และเสน่ห์ส่วนตัวของเธอเพื่อใช้ในการทำงาน “โจอันนาเป็นนักฝัน...ภาพฝันของเธอนั้นประกอบไปด้วยโอกาสในการแปรเปลี่ยนซึ่งมีอยู่ในมนุษย์ทุกคน...เธอเป็นผู้หญิงที่มีความเชื่อว่า...พระเจ้าของเรามีหนึ่งเดียว...ซึ่งเธอได้ให้ข้อตระหนักในส่วนนี้ว่า หนึ่งเดียวองค์นี้อยู่ในทุกหนทุกแห่งแม้แต่ในที่ที่ถูกกระทำย่ำยีจนเสียหาย”
โดยส่วนตัว...เธอนำปรัชญาตะวันออกโบราณกับปรัชญาตะวันตกร่วมสมัย มากระตุ้นให้เธอก้าวไปสู่การทำงานขั้นต่อไป ด้วยความประทับใจ ในสื่งที่เธอเรียกว่า...“ความงามของการปฏิวัติ” ซึ่งเธอได้ค้นพบว่าทฤษฎีดังกล่าวนี้ทำให้คำสอนของพระพุทธองค์สมบูรณ์ขึ้น
“จากประสบการณ์ของฉัน โลกก็มีบทบาทในการปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระ ความกดดัน ความเจ็บปวด และความเสี่ยงภัยของโลก...ทั้งหมดสามารถปลุกให้เราตื่นได้...สามารถปลดปล่อยเราจากการยึดมั่นในอัตตา และนำเรากลับสู่บ้านอันเป็นธรรมชาติที่แท้จริงและไพศาล”
ในเชิงสรุป...สิ่งที่เธอสอนแก่ความเป็นมนุษย์ ในนามของชีวิตแห่งโลกมาจากธรรมชาติในสองด้านของเธอ...คือการเปิดกว้างเป็นพิเศษต่อประสบการณ์ความทุกข์ และความเจ็บปวดรวดร้าว ตลอดจนความมีวินัยเชิงวิชาการอย่างยิ่งที่ไม่ธรรมดา...เกณฑ์ในการสอนของเธอโดยองค์รวมคือการจำเป็นที่จะต้องไม่ปฏิเสธความรู้สึกสิ้นหวัง ขณะเดียวกันก็ต้องไม่ยอมให้มันขัดขวางเราไม่ให้ลงมือกระทำการรักโลก”
ความหวัง ความฝัน แรงบันดาลใจ...100ผู้นำวิสัยทัศน์แห่งศตวรรษที่20 (Visionaries :The 20th Century’s the most important leaders) ถือเป็นหนังสือที่เปี่ยมเต็มไปด้วยคุณค่าแห่งการรับรู้...ในมิติที่เชื่อมโยงของโลกผ่านวิถีชีวิตในเชิงประสบการณ์และจินตนาการที่ทุ่มเทและจริงใจ...โดยเฉพาะกับการทำหน้าที่บรรณาธิการของ “สาทิศ กุมาร” ซึ่งทำงานร่วมกับ “เฟรดดี ไวท์ฟิลด์” ผู้มีอาชีพเป็นทั้งบรรณาธิการและช่างฝีมือที่มีความตั้งใจสูง...รวมทั้งความมุ่งหวังในการทำงานด้านการแปลที่ทั้งหยั่งรู้ในความเข้าใจและสมบูรณ์งดงามด้วยถ้อยคำแห่งภาษาที่ลึกซึ้ง ไปด้วยความหมายในประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกัน...ระหว่างสิ่งแวดล้อม สังคม และจิตวิญญาณ ...ผู้แปลคือ “กรรณิการ์ พรมเสาร์” แปลหนังสือเล่มนี้อย่างมีพลัง และเต็มไปด้วยอำนาจทางความคิดในด้านวรรณกรรมสำนึก...อีกทั้งการเป็นบรรณาธิการฉบับแปลของ“อาจารย์ สดใส ขันติวรพงศ์” ก็ยิ่งทำให้หนังสือเล่มนี้มีน้ำหนักของความเข้มข้นในการสื่อสารเชิงศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง...ต้องขอบอกว่านี่ไม่ใช่หนังสือที่ถูกเขียนขึ้นและรวบรวมความคิดเห็นเอาไว้ในเชิงสรรเสริญเยินยอไม่ว่าจะเป็นความคิดหรือพฤติกรรมของใครคนใดคนหนึ่งแต่มันคือข้อเท็จจริงอันถือเป็น “สัจจะแห่งชีวิต” ที่ผู้เป็นเจ้าของเรื่องราวในแต่ละคนได้ใช้ชีวิตทั้งชีวิตเรียนรู้ ขบคิด ปฏิบัติและแลกเปลี่ยนมันมาเพื่อความตกผลึกในการเป็นเหตุผลของโลกและชีวิตในห้วงแห่งศตวรรษที่เต็มไปด้วยวิกฤตของวิกฤตตลอดจนความแตกร้าวในทางจิตวิญญาณที่กลายเป็นบาดแผลฉกรรจ์อันยากจะเยียวยารักษา แต่ก็ต้องหาหนทางกระทำและป้องกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้.
“100ปีของศตวรรษที่20” นับเป็นความอัปยศของการทำลายล้างท่ามกลางความรุ่งเรืองแห่งความเป็นมหาอำนาจในด้านสงคราม ความฟุ้งเฟ้อละเมอฝันในวัฒนธรรมอันไร้สติ การถูกบีบคั้นอย่างทุกข์ทรมานจากผลพวงแห่งโลกทุนนิยมจนมาสู่ความเป็นโลกเฉพาะของเทคโนโลยีที่เล่นงานเอาความเชื่อมั่นของมนุษย์ให้ต้องจมปลักอยู่กับโคลนตมของอวิชชาและความสูญสิ้นในศรัทธาแห่งหัวใจ...ยังมีนักคิดอีกมากมายที่ได้แสดงความคิดอันเป็นประโยชน์ต่อโลก...พวกเขาหรือเธออาจไม่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างเท่ากับ “เจ้าชายแห่งเวลล์”... “เภตรา เคลลี่”... “มหาตมะ คานธี”... “บ๊อบ ดีแลน”.. “อองซาน ซูจี”... “มาซาโนบุ ฟูกูโอกะ”... “อีเอฟ ชูมาเกอร์”... “กฤษณมูรติ”... “อรุณธตี รอย”... “ทะไลลามะ” “รพินทรนาถ ฐากูร”... “ติช นัท ฮันห์”... “เชอเกียม ตรุงปะ” หรือกระทั่ง “คาลิล ยิบราน” แต่พวกเขาก็มีแนวความคิดบนวิถีที่ยิ่งใหญ่และงดงามร่วมกับบุคคลเหล่านี้ได้อย่างผสานกลมกลืน...เป็นวิถีแห่งการตระหนักรู้และคลี่คลายที่สนองต่อการดำรงอยู่ในฐานะโลกและชีวิตมนุษย์ได้อย่างมีแก่นสารยิ่ง...
“ศตวรรษที่20...เป็นศตวรรษแห่งสงครามการใช้อำนาจเผด็จการและการทำลายสิ่งแวดล้อม กระนั้นก็ยังมีผู้คนมากมายหล่อเลี้ยงความหวังว่าจะมีอนาคตที่ดี ปกติสุข และยั่งยืนเอาไว้ ด้วยการทำตัวเป็นแบบบอย่างแสดงแนวคิด และวิสัยทัศน์ของตนออกมา อิทธิพลทางความคิดของคนเหล่านี้...ช่วยยุติลัทธิล่าอาณานิคมและจักรวรรดินิยม การรแบ่งแยกสีผิว...และระบอบเผด็จการ เป็นการโอบอุ้มวิสัยทัศน์ให้ฟื้นคืนมาใหม่ จนปัจจุบันทั่วโลกให้การยอมรับ แม้ว่าหลายคนได้ต่อสู้โดยไม่เป็นที่รู้จักมาเนิ่นนาน แต่สถานะและความหมายแห่งการเป็นผู้นำของพวกเขา ก็ได้รับการยอมรับด้วยเกียรติยศอันสูงสุด”