ทีเส็บจัดกิจกรรมไมซ์คลินิกผ่านการสัมมนาออนไลน์ จับมือสำนักงานประกันสังคม เปิดเวทีให้ความรู้ผู้ประกอบการไมซ์ ซักถามสร้างความรู้ความเข้าใจต่อมาตรการเยียวยาจากผลกระทบโควิด-19 ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 29 จังหวัด
นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ กล่าวว่า ทีเส็บได้จัดกิจกรรมไมซ์คลินิก ในรูปแบบการสัมมนาออนไลน์ เพื่อเป็นเวทีสื่อกลางประสานงานให้หน่วยงานภาครัฐ ร่วมสร้างความรู้ความเข้าใจกับผู้ประกอบการไมซ์ถึงนโยบายและแนวทางดำเนินงานสำคัญของภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมไมซ์ โดยได้เชิญผู้แทนจากสำนักงานประกันสังคม ร่วมให้ความรู้เกี่ยวกับนายจ้างและลูกจ้างในอุตสาหกรรมไมซ์ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 29 จังหวัด เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไมซ์ได้สอบถามข้อมูลเชิงลึก สร้างความเข้าใจและนำไปปฏิบัติตามมาตรการเพื่อรับเงินช่วยเหลือจากภาครัฐได้อย่างถูกต้อง
ซึ่งมีผู้ประกอบการให้ความสนใจ ทั้งจากผู้แทนสมาคมด้านไมซ์ ท่องเที่ยว และสมาคมที่เกี่ยวข้องกับการจัดงาน อาทิ สมาคมส่งเสริมการประชุมนานาชาติ (ไทย) (TICA) สมาคมการแสดงสินค้า (ไทย) (TEA) สมาคมธุรกิจสร้างสรรค์การจัดงาน (EMA) สมาคมโรงแรมไทย (THA) สมาคมการค้าส่งเสริมการจัดมหกรรมและเทศกาลนานาชาติไทย (TIEFA) สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (TCT) สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ (ADT) สมาคมไทยบริการท่องเที่ยว (TTAA) สมาคมการค้าผู้จัดงานกีฬามวลชนไทย (TMPSA) เข้าร่วมฟังสัมมนาออนไลน์กว่า 240 ราย
ด้าน นายสุรสิทธิ์ ศรีแก้ว ผู้อำนวยการสำนักเงินสมทบ สำนักงานประกันสังคม กล่าวว่า เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล ทางสำนักงานประกันสังคมได้มีโครงการจ่ายเงินเยียวยาแก่นายจ้างและผู้ประกันตนในกิจการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 29 จังหวัด ใน 9 ประเภทกิจการ ครอบคลุมถึงการจัดการประชุมและจัดการแสดงสินค้า จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ โครงการเยียวยาฯ นายจ้างและผู้ประกันตนตามมาตรา 33 โครงการเยียวยาฯ ผู้ประกันตนมาตรา 39 และโครงการเยียวยาฯ ผู้ประกันตนมาตรา 40 อีกทั้งยังมีการจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานด้วยเหตุสุดวิสัยเนื่องจากรัฐสั่งปิดเพิ่มเติมด้วย
สำหรับโครงการเยียวยาฯ ตามมาตรา 33 นายจ้างจะได้รับเงินช่วยเหลือตามจำนวนลูกจ้าง 3,000 บาท ต่อหัว สูงสุดไม่เกิน 200 คน นายจ้างบุคคลธรรมดา รับเงินผ่านพร้อมเพย์เลขประจำตัวประชาชนเท่านั้น นายจ้างนิติบุคคลรับเงินผ่านบัญชีธนาคารที่แจ้งไว้กับสำนักงานประกันสังคม โดยนายจ้างจะต้องแจ้งความประสงค์ขอรับการเยียวยาและยื่นเอกสารให้ครบผ่านทางเว็บไซต์ www.sso.go.th
สำหรับลูกจ้างตามมาตรา 33 จะได้รับเงินช่วยเหลือ 2,500 บาท ต่อคน (สัญชาติไทย) ผ่านพร้อมเพย์เลขประจำตัวประชาชนเท่านั้น ส่วนผู้ประกันตนมาตรา 39 และมาตรา 40 จะได้รับเงินช่วยเหลือค่าครองชีพคนละ 5,000 บาท นอกจากนี้ ในกรณีว่างงานด้วยเหตุสุดวิสัยเนื่องจากรัฐสั่งปิด ลูกจ้างร้านอาหารและผู้ประกอบการที่จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนการว่างงาน จะได้รับเงินชดเชย 50% ไม่เกิน 90 วัน
พร้อมกันนี้ นายสุรสิทธิ์ กล่าวว่า การดำเนินงานธุรกิจนำเที่ยว มัคคุเทศก์ งานแสดงสินค้า และการจัดประชุม ถือว่าอยู่ในขอบข่ายประเภทที่ได้รับสิทธิ์ในการเยียวยา สำหรับธุรกิจที่ไม่ได้อยู่ใน 9 ประเภทกิจการที่รัฐประกาศ และธุรกิจที่ไม่ได้ถูกรัฐสั่งปิดแต่ยุติการดำเนินงานเองไม่ถือว่าเข้าข่ายได้รับสิทธิ์ ส่วนธุรกิจที่มีสำนักงานหลายสาขา สาขาย่อยสามารถไปแจ้งข้อมูลกับสำนักงานประกันสังคมในเขตพื้นที่ได้โดยตรง อย่างไรก็ตาม หากผู้ประกอบการหรือผู้ประกันตนมีข้อสงสัยหรือต้องการยื่นข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อพิจารณาเกี่ยวกับสิทธิ์รับการเยียวยา สามารถติดต่อ สำนักงานประกันสังคม ได้ทางสายด่วน 1506 ซึ่งเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง
ซึ่งมีผู้ประกอบการให้ความสนใจ ทั้งจากผู้แทนสมาคมด้านไมซ์ ท่องเที่ยว และสมาคมที่เกี่ยวข้องกับการจัดงาน อาทิ สมาคมส่งเสริมการประชุมนานาชาติ (ไทย) (TICA) สมาคมการแสดงสินค้า (ไทย) (TEA) สมาคมธุรกิจสร้างสรรค์การจัดงาน (EMA) สมาคมโรงแรมไทย (THA) สมาคมการค้าส่งเสริมการจัดมหกรรมและเทศกาลนานาชาติไทย (TIEFA) สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (TCT) สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ (ADT) สมาคมไทยบริการท่องเที่ยว (TTAA) สมาคมการค้าผู้จัดงานกีฬามวลชนไทย (TMPSA) เข้าร่วมฟังสัมมนาออนไลน์กว่า 240 ราย
ด้าน นายสุรสิทธิ์ ศรีแก้ว ผู้อำนวยการสำนักเงินสมทบ สำนักงานประกันสังคม กล่าวว่า เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล ทางสำนักงานประกันสังคมได้มีโครงการจ่ายเงินเยียวยาแก่นายจ้างและผู้ประกันตนในกิจการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 29 จังหวัด ใน 9 ประเภทกิจการ ครอบคลุมถึงการจัดการประชุมและจัดการแสดงสินค้า จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ โครงการเยียวยาฯ นายจ้างและผู้ประกันตนตามมาตรา 33 โครงการเยียวยาฯ ผู้ประกันตนมาตรา 39 และโครงการเยียวยาฯ ผู้ประกันตนมาตรา 40 อีกทั้งยังมีการจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานด้วยเหตุสุดวิสัยเนื่องจากรัฐสั่งปิดเพิ่มเติมด้วย
สำหรับโครงการเยียวยาฯ ตามมาตรา 33 นายจ้างจะได้รับเงินช่วยเหลือตามจำนวนลูกจ้าง 3,000 บาท ต่อหัว สูงสุดไม่เกิน 200 คน นายจ้างบุคคลธรรมดา รับเงินผ่านพร้อมเพย์เลขประจำตัวประชาชนเท่านั้น นายจ้างนิติบุคคลรับเงินผ่านบัญชีธนาคารที่แจ้งไว้กับสำนักงานประกันสังคม โดยนายจ้างจะต้องแจ้งความประสงค์ขอรับการเยียวยาและยื่นเอกสารให้ครบผ่านทางเว็บไซต์ www.sso.go.th
สำหรับลูกจ้างตามมาตรา 33 จะได้รับเงินช่วยเหลือ 2,500 บาท ต่อคน (สัญชาติไทย) ผ่านพร้อมเพย์เลขประจำตัวประชาชนเท่านั้น ส่วนผู้ประกันตนมาตรา 39 และมาตรา 40 จะได้รับเงินช่วยเหลือค่าครองชีพคนละ 5,000 บาท นอกจากนี้ ในกรณีว่างงานด้วยเหตุสุดวิสัยเนื่องจากรัฐสั่งปิด ลูกจ้างร้านอาหารและผู้ประกอบการที่จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนการว่างงาน จะได้รับเงินชดเชย 50% ไม่เกิน 90 วัน
พร้อมกันนี้ นายสุรสิทธิ์ กล่าวว่า การดำเนินงานธุรกิจนำเที่ยว มัคคุเทศก์ งานแสดงสินค้า และการจัดประชุม ถือว่าอยู่ในขอบข่ายประเภทที่ได้รับสิทธิ์ในการเยียวยา สำหรับธุรกิจที่ไม่ได้อยู่ใน 9 ประเภทกิจการที่รัฐประกาศ และธุรกิจที่ไม่ได้ถูกรัฐสั่งปิดแต่ยุติการดำเนินงานเองไม่ถือว่าเข้าข่ายได้รับสิทธิ์ ส่วนธุรกิจที่มีสำนักงานหลายสาขา สาขาย่อยสามารถไปแจ้งข้อมูลกับสำนักงานประกันสังคมในเขตพื้นที่ได้โดยตรง อย่างไรก็ตาม หากผู้ประกอบการหรือผู้ประกันตนมีข้อสงสัยหรือต้องการยื่นข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อพิจารณาเกี่ยวกับสิทธิ์รับการเยียวยา สามารถติดต่อ สำนักงานประกันสังคม ได้ทางสายด่วน 1506 ซึ่งเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง