บทความ /เรียบเรียง : วัฒนรักษ์ watanarax@yahoo.com สิ่งจำเป็นสำหรับที่จะทำให้ทุกมีชีวิตอยู่รอดได้บนโลก นอกจากอาหาร อากาศแล้ว ยังต้องมีน้ำ โดยเฉพาะน้ำจืด ซึ่งมีคุณค่าอย่างยิ่งต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ สัตว์ และพืช หากว่าขาดน้ำเมื่อใด ก็เป็นการยากที่มนุษย์ สัตว์และพืช จะดำรงชีวิตอยู่ได้ จึงไม่เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจเลยว่า เหตุใดนับแต่สมัยโบราณจนถึงยุคปัจจุบัน มนุษย์ทุกหมู่ ทุกเหล่า ทุกเผ่าพันธุ์ ล้วนเลือกตั้งภูมิลำเนาอยู่ใกล้แหล่งน้ำ เช่น แม่น้ำ ลำคลอง หนอง บึง ห้วย ลำธาร ทะเลสาบ เลยไปจนถึงแหล่งน้ำเค็มอย่างทะเล และมหาสมุทร คนไทยเป็นชนชาติที่คุ้นเคยกับน้ำมาอย่างยาวนาน ถึงขนาดที่เรียกว่า “น้ำ” เข้ามามีส่วนซึมแทรกอยู่ในทุกช่วงของวิถีชีวิต จนหลอมรวมเกิดเป็นความเชื่อ ประเพณีและพิธีกรรมของคนไทยเราอย่างหลากหลาย ซึ่งหากจะกล่าวว่า วัฒนธรรมของคนไทยเราคือ “วัฒนธรรมน้ำ” ก็ดูจะไม่ได้เป็นการกล่าวที่เกินเลยไปนัก และหากมองเฉพาะในแง่ของพิธีกรรม ทั้งพิธีราษฎร์และพิธีหลวง เราจะเห็นได้ว่าพิธีกรรมสำคัญๆ ที่ต้องมีน้ำเป็นส่วนประกอบก็มีหลายพิธี เริ่มที่พิธีหลวง เช่น “พระราชพิธีบรมราชาภิเษก” ต้องมีการอัญเชิญน้ำมูรธาภิเษก ที่จะใช้เป็นน้ำจากสถานที่ต่างๆ อันศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในราชอาณาจักรมาทำพิธี เพื่อใช้รดพระเศียรและสรงของพระเจ้าแผ่นดิน ในการแปรสถานะพระองค์เข้าสู่ความเป็นกษัตริย์เป็นขั้นแรก ก่อนจะมีพระราชพิธีอื่นๆ ต่อไป พิธีหลวงอีกพิธีหนึ่งซึ่งน้ำเข้าไปมีบทบาทสำคัญเป็นอย่างยิ่ง คือ “การถือน้ำพิพัฒน์สัตยา” เป็นอีกพิธีกรรมหนึ่งในสมัยก่อนที่จะป้องกันข้าราชการมิให้ฉ้อราษฎร์บังหลวง ในยุครัตนโกสินทร์จะทำพิธีในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เฉพาะพระพักตร์พระมหากษัตริย์ โดยให้ข้าราชการถวายสัตย์สาบาน ด้วยการดื่มน้ำที่ผ่านพิธีกรรมการปลุกเสกด้วยจากการชุบพระแสง 3 องค์ลงในน้ำ มีพระมหาราชครูอ่านโองการ นอกจากนี้ยังมีพิธีที่เกี่ยวกับน้ำในทางเกษตรกรรม ที่พระเจ้าแผ่นดินต้องทรงทำหน้าที่เหมือนพระอินทร์มาขจัดปัญหาที่เกิดขึ้น อาทิ “พระราชพิธีไล่เรือ” และ “พระราชพิธีไล่น้ำ” จะทำต่อเมื่อปีไหนน้ำหลากท่วมไร่นามากเกินไป พระมหากษัตริย์พร้อมพระมเหสี พระเจ้าลูกเธอและพระสนมก็จะแต่งองค์เต็มยศลงเรือพระที่นั่ง เสด็จออกไปประทับยืนทรงพัชนีบังคับให้น้ำลด ซึ่งพระราชพิธีดังกล่าวนี้เคยทำในสมัยรัชกาลที่ 1 ครั้งหนึ่ง และรัชกาลที่ 3 อีกครั้งหนึ่ง แต่หากปีใดฝนแล้ง ก็เป็นพระราชภาระที่ต้องทำพิธีที่เรียกว่า “พระราชพิธีพิรุณศาสตร์” เพื่อขอฝนด้วย ในส่วนประเพณีราษฎร์ ซึ่งเป็นการประกอบพิธีกรรมของชาวบ้านชาวเมืองโดยทั่วไป เราก็มีประเพณีที่เกี่ยวข้องกับน้ำหลายประเพณี เช่น ประเพณีสงกรานต์ ลอยกระทง งานบุญบั้งไฟ หรือ แห่นางแมว เพื่อขอฝน รวมไปถึงการละเล่นทางน้ำต่างๆ อาทิ การพายเรือเล่นสักวา การแข่งเรือ หรือแม้แต่เทศกาลชักพระ โยนบัว ที่เป็นงานประจำปีที่สำคัญของบางจังหวัด บทบาทสำคัญของน้ำที่สัมพันธ์กับความเชื่อที่เป็นประเพณีเกี่ยวกับชีวิตอีกประการหนึ่งที่ละเลยไม่ได้ คือเป็นสัญลักษณ์ที่ถูกนำมาใช้ในพิธีกรรม ทั้งเพื่อความเป็นมงคลและการชะล้างเพื่อความสะอาดบริสุทธิ์อย่างแท้จริง โดยเฉพาะการอาบน้ำในพิธีก็มีกันในหลายชาติหลายภาษา ดังที่พระยาอนุมานราชธน นักปราชญ์สำคัญของบ้านเรา ได้กล่าวถึงการ “อาบน้ำ” ว่า “หากจะแปลกันตรงๆ ก็คือ การชำระมลทินของร่างกายด้วยน้ำ ซึ่งการอาบน้ำในพิธีของชาวไทยแต่ก่อน มีด้วยกัน 4 กาละคือ อาบเมื่อปลงผมไฟ เพื่อล้างผมโกนที่ติดตัว อาบเมื่อโกนจุก เพื่อล้างผมที่ติดตัวเช่นกัน อาบเมื่อแต่งงานสมรส เพื่อทำตัวให้สะอาดเตรียมเข้าหอ และอาบเมื่อตาย เพื่อทำศพให้สะอาด เตรียมขึ้นไปไหว้พระจุฬามณีเจดีย์” เมื่อดูบทบาทของน้ำที่มีความสัมพันธ์ในพิธีกรรมทางศาสนา น้ำก็ใช้เป็นสัญญาลักษณ์ของความสงบสุขร่มเย็นไม่มีความทุกข์ ความไม่เดือดร้อน สามารถล้างความอัปมงคลให้ออกไปจากร่างกายและจิตใจ ซึ่งตรงกับหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาที่มุ่งเน้นในด้านความสงบไม่มีทุกข์ และน้ำยังเป็นส่วนหนึ่งในพิธีกรรมของหลายๆ ศาสนา เช่น การสรงน้ำพระพุทธรูปในศาสนาพุทธ หรือการเข้าพิธีล้างบาป หรือศีลจุ่มในศาสนาศริสต์ รวมถึงการที่มีพิธีสนาน คือการอาบน้ำชำระร่างกายก่อนที่จะเข้าพิธีด้วยความบริสุทธิ์ในลัทธิพราหมณ์ หากสังคมไทยจะได้พินิจพิจารณาถึง “วัฒนธรรมน้ำ” กันอย่างถ่องแท้ น้ำก็จะยิ่งทรงคุณค่าสมกับที่คนไทยเป็นเจ้าแห่งวัฒนธรรมน้ำ ซึ่งบรรพชนได้แฝงภูมิปัญญาอันหลากหลายไว้ในพิธีกรรมอย่างแท้จริง