คณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา นำโดย พลเอก จีระศักดิ์ ชมประสพ กรรมาธิการคณะฯ เดศึกษาดูงาน สบขุ่นโมเดล ต้นเเบบงานพัฒนา เเก้ไขปัญหาดอยหัวโล้น โครงการด้านพัฒนาความยั่งยืน ที่เครือซีพี เข้ามาดำเนินกิจกรรมในพื้นที่จังหวัดน่าน โดยมี นายจอมกิตติ ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านพัฒนาความยั่งยืนภาครัฐ เครือเจริญโภคภัณฑ์ ให้การต้อนรับ พร้อมบรรยายสรุปการดำเนินโครงการ ที่สำนักงานด้านความยั่งยืนและพัฒนาชุมชนจังหวัดน่าน เครือเจริญโภคภัณฑ์ บริเวณแยกพันต้น อำเภอเมืองน่านจังหวัดน่าน ก่อนลงพื้นที่ต้นแบบสบขุ่นโมเดล ที่ได้ฟื้นฟูป่า ควบคู่กับสร้างรายได้ 1,978 ไร่ ที่ บ้านสบขุ่น ต.ป่าคา อ.ท่าวังผา
นายอรรถวิทย์ ยุทธยศ ผู้จัดการทั่วไป ด้านพัฒนาความยั่งยืนภาครัฐ เครือเจริญโภคภัณฑ์ บรรยายเพิ่มเติมการดำเนินโครงการว่า ราษฎรในพื้นที่บ้านสบขุ่น ให้ความสนใจในการแก้ไขปัญหาเขาหัวโล้น ที่พวกเขาเคยทำลายมาก่อน ด้วยการปลูกข้าวโพด และขยายพื้นที่ทำกินก่อให้เกิดปัญหาด้านสารเคมีการบุกรุกทำลายพื้นที่ผืนป่าทำให้ความสมบูรณ์ในเรื่องของน้ำได้หายไปจากความเป็นมาแบบดั้งเดิม และ เข้าร่วมโครงการจำนวน 93 ราย ปรับเปลี่ยนการทำเกษตรด้วยการปลูกกาแฟ พร้อมกับการปลูกไม้เศรษฐกิจท้องถิ่นแบบผสมผสาน แทนการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดย น้อมนำแนวทางพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาเป็นพื้นฐานของการสร้างป่าสร้างรายได้ และทางโครงการด้านพัฒนาความยั่งยืน ที่เครือซีพี บูรณาการร่วมภาครัฐ รภาคประชาสังคมและภาคเอกชน สนับสนุน เติมสิ่งที่ขาดให้กับเกษตรกร ประกอบด้วยองค์ความรู้เทคโนโลยี การบริหารจัดการทุน คุณธรรม และการตลาดเพื่อรองรับการซื้อผลผลิตของราษฎรในโครงการ
และ 3 ปีกว่าที่ผ่านมา สามารถเก็บผลผลิตขายได้ พร้อมกับจัดตั้งโรงแปรรูป ตั้งองค์กรวิสาหกิจชุมชนขึ้นในรูปแบบของกลุ่มเป็นเจ้าของกิจการร่วมกันมุ่งเน้นการพัฒนาคนให้มีความรู้ความเข้าใจเพื่อพัฒนาสู่ความยั่งยืนภายใต้แนวทางของศาสตร์พระราชา พร้อมกับสามารถคืนผืนป่ากว่า 1,700 ไร่คืนสู่ธรรมชาติ ส่งผลทำให้มีอาหารจากป่า มีสัตว์ป่าเพิ่มขึ้น และมีระบบน้ำดีขึ้น ที่สำคัญในพื้นที่ดังกล่าวได้ลดการใช้สารเคมี เมื่อลดพื้นที่การปลูกข้าวโพดลง และหันมาปลูกกาแฟแทนพร้อมกับปลูกไม้ 3 อย่างประโยชน์ 4 อย่างตามศาสตร์ของพระราชา ซึ่งปัจจุบันราษฎรในพื้นที่บ้านสบขุ่น มีความมั่นใจในการปรับเปลี่ยนรูปแบบเกษตรจากใช้พื้นที่จำนวนมากได้ค่าตอบแทนน้อย เป็นใช้พื้นที่น้อยได้ค่าตอบแทนมาก และหากราษฎรในพื้นที่หันมาร่วมกันสร้างป่าสร้างรายได้โดยอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูลกันแบบผสมผสานแล้วจะทำให้ราษฎรมีความมั่นคงในอาชีพ สามารถสร้างความยั่งยืนที่เกื้อกูลต่อการดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุขอย่างยั่งยืน
นายอรรถวิทย์ ยุทธยศ ผู้จัดการทั่วไป ด้านพัฒนาความยั่งยืนภาครัฐ เครือเจริญโภคภัณฑ์ บรรยายเพิ่มเติมการดำเนินโครงการว่า ราษฎรในพื้นที่บ้านสบขุ่น ให้ความสนใจในการแก้ไขปัญหาเขาหัวโล้น ที่พวกเขาเคยทำลายมาก่อน ด้วยการปลูกข้าวโพด และขยายพื้นที่ทำกินก่อให้เกิดปัญหาด้านสารเคมีการบุกรุกทำลายพื้นที่ผืนป่าทำให้ความสมบูรณ์ในเรื่องของน้ำได้หายไปจากความเป็นมาแบบดั้งเดิม และ เข้าร่วมโครงการจำนวน 93 ราย ปรับเปลี่ยนการทำเกษตรด้วยการปลูกกาแฟ พร้อมกับการปลูกไม้เศรษฐกิจท้องถิ่นแบบผสมผสาน แทนการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดย น้อมนำแนวทางพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาเป็นพื้นฐานของการสร้างป่าสร้างรายได้ และทางโครงการด้านพัฒนาความยั่งยืน ที่เครือซีพี บูรณาการร่วมภาครัฐ รภาคประชาสังคมและภาคเอกชน สนับสนุน เติมสิ่งที่ขาดให้กับเกษตรกร ประกอบด้วยองค์ความรู้เทคโนโลยี การบริหารจัดการทุน คุณธรรม และการตลาดเพื่อรองรับการซื้อผลผลิตของราษฎรในโครงการ
และ 3 ปีกว่าที่ผ่านมา สามารถเก็บผลผลิตขายได้ พร้อมกับจัดตั้งโรงแปรรูป ตั้งองค์กรวิสาหกิจชุมชนขึ้นในรูปแบบของกลุ่มเป็นเจ้าของกิจการร่วมกันมุ่งเน้นการพัฒนาคนให้มีความรู้ความเข้าใจเพื่อพัฒนาสู่ความยั่งยืนภายใต้แนวทางของศาสตร์พระราชา พร้อมกับสามารถคืนผืนป่ากว่า 1,700 ไร่คืนสู่ธรรมชาติ ส่งผลทำให้มีอาหารจากป่า มีสัตว์ป่าเพิ่มขึ้น และมีระบบน้ำดีขึ้น ที่สำคัญในพื้นที่ดังกล่าวได้ลดการใช้สารเคมี เมื่อลดพื้นที่การปลูกข้าวโพดลง และหันมาปลูกกาแฟแทนพร้อมกับปลูกไม้ 3 อย่างประโยชน์ 4 อย่างตามศาสตร์ของพระราชา ซึ่งปัจจุบันราษฎรในพื้นที่บ้านสบขุ่น มีความมั่นใจในการปรับเปลี่ยนรูปแบบเกษตรจากใช้พื้นที่จำนวนมากได้ค่าตอบแทนน้อย เป็นใช้พื้นที่น้อยได้ค่าตอบแทนมาก และหากราษฎรในพื้นที่หันมาร่วมกันสร้างป่าสร้างรายได้โดยอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูลกันแบบผสมผสานแล้วจะทำให้ราษฎรมีความมั่นคงในอาชีพ สามารถสร้างความยั่งยืนที่เกื้อกูลต่อการดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุขอย่างยั่งยืน