วันนี้ (11 เมษายน 2560) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี
ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม พลโท สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย พันเอกหญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ร่วมแถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
เศรษฐกิจ- สังคม
1. เรื่อง ผลการดำเนินมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ปีการผลิต 2559/60 และ
ขอขยายระยะเวลาการจ่ายเงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ ดังนี้
1. รับทราบความคืบหน้าผลการดำเนินมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและรักษาเสถียรภาพราคาข้าวช่วงผลผลิตออกสู่ตลาด ซึ่งเป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2559 ที่กำหนดให้คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวติดตามและตรวจสอบการดำเนินโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปีและการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2559/60
2. เห็นชอบขยายระยะเวลาการจ่ายเงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2559/60 จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2560 (ยกเว้นภาคใต้สิ้นสุดคงเดิม ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2560) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1,8 และ 22 พฤศจิกายน 2559 เป็นสิ้นสุด วันที่ 31 พฤษภาคม 2560 เนื่องจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรต้องตรวจสอบข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนและไม่เป็นภาระงบประมาณแผ่นดิน โดยยังมีเกษตรกรที่ไม่ได้รับความช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวอีกจำนวนประมาณ 1.514 ล้านบาท (ร้อยละ 38.02)
สาระสำคัญของเรื่อง
พณ. รายงานว่า เนื่องจากการดำเนินการจ่ายเงินช่วยเหลือและปรับปรุงคุณภาพข้าว ให้แก่เกษตรกร ธ.ก.ส. ต้องตรวจสอบความซ้ำซ้อนการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย ส่งผลให้ผลผลิตข้าวเสียหายไม่ได้เก็บเกี่ยวและเกษตรกรได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลแล้ว ซึ่ง ธ.ก.ส. จะต้องนำข้อมูลพื้นที่ประกาศภัยจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและข้อมูลสำรวจความเสียหาย และการจ่ายเงินช่วยเหลือจากกรมส่งเสริมการเกษตรมาใช้ในการตรวจสอบเพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนและไม่เป็นภาระงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งปัจจุบันกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ส่งข้อมูลให้ ธ.ก.ส. แล้ว สำหรับข้อมูลเกษตรกรที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยและได้รับเงินชดเชยจากรัฐบาลอยู่ระหว่างการรวบรวมของกรมส่งเสริมการเกษตร ธ.ก.ส. พิจารณาแล้วเห็นว่ายังมีเกษตรกรที่ไม่ได้รับความช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวอีกจำนวนประมาณ 1.514 ล้านราย เพื่อให้ความช่วยเหลือและบรรเทาภาระต้นทุนแก่เกษตรกรอย่างถูกต้องครบถ้วน จึงเห็นสมควรขยายระยะเวลาการจ่ายเงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวจากเดิมวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2560 เป็นภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2560
2. เรื่อง ขอบเขตพื้นที่เมืองเก่า และกรอบแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า เมืองเก่าราชบุรี เมืองเก่าสุรินทร์ เมืองเก่าภูเก็ต และเมืองเก่าระนอง
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ ดังนี้
1. ขอบเขตพื้นที่เมืองเก่า เมืองเก่าราชบุรี เมืองเก่าสุรินทร์ เมืองเก่าภูเก็ต และเมืองเก่าระนอง เพื่อประกาศเขตพื้นที่เมืองเก่า ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์
และเมืองเก่า พ.ศ. 2546
2. กรอบแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปพิจารณาและจัดทำรายละเอียดเพื่อดำเนินการต่อไป
สาระสำคัญของขอบเขตพื้นที่เมืองเก่า 4 เมือง เพื่อประกาศเขตพื้นที่เมืองเก่าตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า พ.ศ. 2546 ได้แก่
1. ขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าราชบุรี ครอบคลุมอาณาบริเวณพื้นที่ภายในกำแพงเมืองและคูเมือง
โบราณด้านทิศใต้ริมฝั่งแม่น้ำแม่กลองฝั่งตะวันตกในเขตเทศบาลเมืองราชบุรี และกำแพงเมืองบริเวณค่ายภาณุรังสี
ริมฝั่งแม่น้ำแม่กลองฝั่งตะวันออก รวมถึงชุมชนโดยรอบย่านการค้าเก่าริมฝั่งแม่น้ำแม่กลองฝั่งตะวันตกและบริเวณ ตลาดโรงช้าง
2. ขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าสุรินทร์ ครอบคลุมอาณาบริเวณพื้นที่ภายในกำแพงเมืองและ คูเมืองสุรินทร์ชั้นนอกของกรมธนารักษ์ รวมถึงชุมชนและย่านการค้าบริเวณหลังสถานีรถไฟสุรินทร์
3. ขอบเขตเพื้นที่เมืองเก่าภูเก็ต ครอบคลุมอาณาบริเวณพื้นที่ย่านการค้าดั้งเดิมที่มีสถาปัตยกรรมแบบชิโนโปรตุกีส อาคารบ้านเรือนคหบดีเก่าที่กระจุกตัวบริเวณถนนกลาง ถนนดีบุก ถนนระนอง ถนนรัษฎา ถนนภูเก็ต รวมถึงอาคารราชการ ศาลเจ้าย่านชุมชนบางเหนียว และต่อเนื่องถึงคลองบางใหญ่ด้านใต้ ถึงทะเลอันดามัน
4. ขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าระนอง ครอบคลุมอาณาบริเวณพื้นที่ฝั่งเหนือของคลองหาดส้มแป้น ซึ่งมี
องค์ประกอบของเมืองที่สำคัญตั้งอยู่ ประกอบด้วย ย่านศูนย์กลางราชการบริเวณเนินประวัติศาสตร์เขตนิเวศน์ พระราชวังรัตนรังสรรค์ ศาลหลักเมือง ศาลเจ้า กลุ่มอาคารย่านการค้าเก่า ถนนเรืองราษฎร์ ถนนท่าเมือง และ ย่านที่อยู่อาศัยดั้งเดิมริมถนนดับคดี
สำหรับกรอบแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า ประกอบด้วย แนวทางทั่วไปและแนวทางสำหรับเขตพื้นที่ ดังนี้
1. แนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาทั่วไป พิจารณาจากแนวทางทั่วไป 7 ประการ ซึ่งสามารถเลือกนำไปใช้ปฏิบัติตามความเหมาะสมสำหรับพื้นที่เฉพาะแต่ละบริเวณที่มีความแตกต่างกันออกไป ดังนี้ 1) การมีส่วนร่วมและการประชาสัมพันธ์ 2) การสร้างจิตสำนึก การอนุรักษ์และพัฒนาอย่างยั่งยืน 3) การส่งเสริมกิจกรรมและ วิถีชีวิตท้องถิ่น 4) การส่งเสริมคุณภาพชีวิต 5) การป้องกันภัยคุกคามจากมนุษย์และธรรมชาติ 6) การประหยัดพลังงานด้านการสัญจรและสภาพแวดล้อม 7) การดูแลและบำรุงรักษาอาคารและสาธารณูปการ
2. แนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาสำหรับเขตพื้นที่ (Zoning) พิจารณาจากเขตพื้นที่ มี 2 ประเภท ซึ่งสามารถเลือกนำไปใช้ปฏิบัติตามความเหมาะสมสำหรับแต่ละพื้นที่ ประกอบด้วย 1) ด้านการใช้ประโยชน์ที่ดิน 2) ด้านอาคารและสภาพแวดล้อม 3) ด้านระบบการจราจรและคมนาคมขนส่ง 4) ด้านการพัฒนา ภูมิทัศน์ 5) ด้านการบริหารและการจัดการ
3. เรื่อง (ร่าง) ยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2564 และเพิ่มองค์ประกอบ
ในคณะกรรมการพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ประธานกรรมการพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติเสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบ (ร่าง) ยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2564
2. เห็นชอบให้เพิ่มองค์ประกอบในคณะกรรมการพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ โดยเพิ่มผู้แทน
กรมวิชาการเกษตร เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ อีก 1 คน
สาระสำคัญของร่างยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2564
มีวัตถุประสงค์ เพื่อเพิ่มพื้นที่และปริมาณการผลิตเกษตรอินทรีย์ เพื่อเพิ่มการค้าและการบริโภคสินค้าเกษตรอินทรีย์ในประเทศ เพื่อให้สินค้าเกษตรอินทรีย์ที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐาน เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลาง (Hub) ของสินค้าและบริการด้านเกษตรอินทรีย์ในระดับสากล และเพื่อพัฒนาองค์ความรู้และนวัตกรรมเกษตรอินทรีย์ให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล
ยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ 1) ส่งเสริมการวิจัยการสร้างและเผยแพร่องค์ความรู้และนวัตกรรมเกษตรอินทรีย์ 2) พัฒนาการผลิตสินค้าและบริการเกษตรอินทรีย์ 3) พัฒนาการตลาดสินค้าและบริการ และการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ และ 4) การขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์
การเพิ่มองค์ประกอบในคณะกรรมการพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ ในส่วนของผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) จากเดิมจำนวน 3 คน ประกอบด้วย ผู้แทนกรมพัฒนาที่ดิน สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติและสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร โดยเพิ่มผู้แทนกรมวิชาการเกษตรอีก 1 คน รวมเป็น 4 คน
4. เรื่อง การพิจารณากำหนดวันหยุดราชการประจำปีเพิ่มและกำหนดวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ
ในปี 2560
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกำหนดให้วันที่ 28 กรกฎาคม และวันที่ 13 ตุลาคม เป็นวันหยุดราชการประจำปี อีก 2 วัน ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เสนอ ส่วนรัฐวิสาหกิจ สถาบันการเงิน และภาคเอกชน ให้รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง ธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงแรงงาน พิจารณาความเหมาะสมให้สอดคล้องกับข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป
ทั้งนี้ ในกรณีที่หน่วยงานใดมีภารกิจในการให้บริการประชาชน หรือมีความจำเป็น หรือราชการสำคัญในวันดังกล่าวโดยได้กำหนดหรือนัดหมายไว้ก่อนแล้ว ซึ่งหากยกเลิกหรือเลื่อนไปจะเกิดความเสียหายหรือกระทบต่อการให้บริการประชาชน ให้หัวหน้าหน่วยงานนั้นพิจารณาดำเนินการตามที่เห็นสมควร โดยมิให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการและประชาชน
สาระสำคัญของเรื่อง
สลค. เสนอว่า ได้จัดทำข้อมูลเกี่ยวกับการกำหนดวันหยุดราชการประจำปีเพิ่มและการกำหนดวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษในปี 2560 ดังนี้
1. ควรกำหนดวันหยุดราชการประจำปีเพิ่ม รวม 2 วัน เนื่องจากทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระราชานุญาตให้กำหนดวันสำคัญของชาติไทยเพิ่มเติม ได้แก่ วันที่ 28 กรกฎาคมของทุกปี ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร และวันที่ 13 ตุลาคมของทุกปี ซึ่งเป็นวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เพื่อให้ประชาชนได้น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ดังนั้น จึงเห็นควรกำหนดวันหยุดราชการประจำปีเพิ่ม รวม 2 วัน ดังนี้
1.1 วันที่ 28 กรกฎาคม เนื่องจากเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร
1.2 วันที่ 13 ตุลาคม เนื่องจากเป็นวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
นอกจากนี้ กรณีวันที่ 5 พฤษภาคม ซึ่งเป็นวันฉัตรมงคล (วันบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร) และบัดนี้ได้ล่วงพ้นรัชสมัยแล้ว จึงไม่ถือเป็นวันหยุดราชการประจำปี
2. สำหรับกรณีส่วนราชการที่ต้องปฏิบัติภารกิจในการให้บริการประชาชนหรือมีความจำเป็นหรือราชการสำคัญในวันดังกล่าวโดยได้กำหนดหรือนัดหมายไว้ก่อนแล้ว ซึ่งหากยกเลิกหรือเลื่อนไป จะเกิดความเสียหายหรือกระทบต่อการให้บริการประชาชนให้ถือปฏิบัติตามแนวทางเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติในเรื่องเดียวกันนี้แล้ว กล่าวคือให้หัวหน้าหน่วยงานนั้นพิจารณาดำเนินการตามที่เห็นสมควร โดยมิให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการและประชาชน ส่วนรัฐวิสาหกิจ สถาบันการเงิน และภาคเอกชน ให้รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง ธนาคารแห่งประเทศ และกระทรวงแรงงาน พิจารณาความเหมาะสมให้สอดคล้องกับข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป
ต่างประเทศ
5. เรื่อง การจัดทำความตกลงในรูปแบบของหนังสือแลกเปลี่ยนระหว่างไทยกับกองทุนประชากร แห่งสหประชาชาติ (United Nations Population Fund-UNFPA) เพื่อจัดตั้งสำนักงานภูมิภาคในประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้
1. อนุมัติให้จัดทำความตกลงในรูปแบบของหนังสือแลกเปลี่ยนระหว่างไทยกับกองทุนประชากร แห่งสหประชาชาติ (United Nations Population Fund-UNFPA) เพื่อจัดตั้งสำนักงานภูมิภาคในประเทศไทย
2. อนุมัติให้อธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ กต. หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ของฝ่ายไทย พร้อมทั้งอนุมัติให้ กต. จัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและ ไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้ กต. ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2558 (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
UNFPA เป็นองค์การภายใต้สหประชาชาติที่ให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศกำลังพัฒนาในการแก้ปัญหาด้านประชากรโดยมีการดำเนินการเกี่ยวกับอนามัยเจริญพันธุ์ การวางแผนครอบครัวและอนามัยทางเพศ และการพัฒนาด้านประชากร โดยเริ่มเข้ามาดำเนินการในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2514 และในปี 2552 ได้ยกสถานะสำนักงาน UNFPA ในประเทศไทยเป็นสำนักงานภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกแล้ว
ทั้งนี้ ความตกลงในรูปแบบของหนังสือแลกเปลี่ยนดังกล่าวเป็นการยอมรับให้เอกสิทธิ์และ ความคุ้มกันแก่ผู้แทนของ UNFPA ที่ปฏิบัติหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง โดยจะให้เอกสิทธิ์และความคุ้มกันเท่าที่กำหนดไว้ในอนุสัญญาว่าด้วยเอกสิทธิ์และความคุ้มกันของสหประชาชาติที่ได้รับรองโดยสหประชาชาติเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1946 ซึ่งไทยมีพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของสหประชาชาติและทบวงการชำนัญพิเศษในประเทศไทย พ.ศ. 2504 เป็นกฎหมายรองรับอยู่แล้ว
6. เรื่อง เอกสารเพิ่มเติม (Addendum) ฉบับที่ 1 ของความตกลงให้ความช่วยเหลือด้านการเงินโครงการกลไกการหารือระดับภูมิภาคที่เพิ่มพูนระหว่างสหภาพยุโรป-อาเซียน (Enhanced Regional EU-ASEAN Dialogue Instrument: E-READI)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบต่อเอกสารเพิ่มเติม (Addendum) ฉบับที่ 1 ของความตกลงให้ความช่วยเหลือด้านการเงินโครงการกลไกการหารือระดับภูมิภาคที่เพิ่มพูนระหว่างสหภาพยุโรป-อาเซียน (Enhanced Regional EU-ASEAN Dialogue Instrument: E-READI) โดยหากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขเอกสารในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้ กต. ดำเนินการได้โดยนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
2. อนุมัติให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในเอกสารดังกล่าว
สาระสำคัญของเรื่อง
วัตถุประสงค์ที่สำคัญของเอกสารเพิ่มเติม (Addendum) ฉบับที่ 1ฯ เพื่อให้บรูไนดารุสซาลามและสิงคโปร์สามารถรับเงินสนับสนุนในการเข้าร่วมโครงการ E-READI รวมถึงสามารถมีส่วนร่วมในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างและกระบวนการรับเงินช่วยเหลือต่าง ๆ ได้เช่นเดียวกับประเทศสมาชิกอาเซียนอื่น ๆ ตามหลักการความเสมอภาคและความเท่าเทียมของอาเซียน โดยเป็นการปรับเปลี่ยนในส่วนที่เป็นภาคผนวก 1 บทบัญญัติด้านเทคนิค และด้านการบริหารจัดการของความตกลงให้ความช่วยเหลือด้านการเงินฯ ได้แก่ วัตถุประสงค์ (Objective) ผลลัพธ์ที่คาดหวังและกิจกรรมหลัก (Expected results and main activities) ขอบเขตของคุณสมบัติทางภูมิศาสตร์ในการจัดซื้อจัดจ้างและการรับเงินช่วยเหลือ (Scope of geographical eligibility for procurement and grants) ซึ่งเอกสารเพิ่มเติมฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้ในวันที่คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายได้ลงนาม และเอกสารเพิ่มเติมฉบับที่ 1ฯ เป็นการจัดทำเอกสารระหว่างสหภาพยุโรปกับอาเซียนในฐานะที่เป็นองค์การระหว่างประเทศ โดยไทยต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบว่าด้วยการทำความตกลงระหว่างประเทศโดยอาเซียน กล่าวคือ ในกรณีที่เลขาธิการอาเซียนเป็นผู้ลงนามความตกลงระหว่างประเทศของอาเซียนในฐานะที่เป็นองค์การระหว่างประเทศ ไม่จำเป็นต้องมีหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) จากรัฐบาลไทย แต่รัฐบาลไทยจะต้องให้ความยินยอมผ่านคณะผู้แทนถาวรไทยประจำอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา ในการลงนามความตกลง กต. จึงต้องเสนอเรื่องดังกล่าวเพื่อขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อน เมื่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว กต. จึงจะแจ้งสำนักเลขาธิการอาเซียนตามขั้นตอนต่อไป
7. เรื่อง ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้ กก. พิจารณาดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2558 (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬามอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ (โดยระบุตำแหน่ง)
3. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ จัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาหรือผู้แทนสำหรับการลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ
สาระสำคัญของ ร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างมิตรภาพที่มีอยู่ระหว่างทั้งสองประเทศ และการขยายความร่วมมือทวิภาคีด้านการท่องเที่ยวระหว่างกัน ซึ่งเดิมทั้งสองประเทศได้เคยมีบันทึกความเข้าใจด้านการท่องเที่ยวระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวที่ได้มีการลงนามแล้วเมื่อวันที่ 25 เมษายน ค.ศ. 2002 (มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2543) ในการนำเสนอครั้งนี้เป็นการจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจฯ ขึ้นใหม่เพื่อใช้แทนบันทึกความเข้าใจฯ เดิม เพื่อขยายความร่วมมือทวิภาคีด้านการท่องเที่ยวระหว่างกัน โดยสาระสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจฯ ครอบคลุม 6 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1) ส่งเสริมตลาดการท่องเที่ยวระหว่างกัน 2) ส่งเสริมให้มีการลงทุนด้านการท่องเที่ยวเพื่อสนับสนุนให้มีการลงทุนระหว่างกัน 3) อำนวยความสะดวกการส่งเสริมแหล่งท่องเที่ยวผ่านสื่อ 4) แลกเปลี่ยนข้อมูลและความร่วมมือด้านการศึกษาและหลักสูตรอบรมด้านการท่องเที่ยวให้กับบุคลากรด้านการท่องเที่ยว 5) แลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและเชิงสุขภาพ และ 6) จัดตั้งคณะกรรมการเพื่อดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจฯ
8. เรื่อง การเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงาน UNWTO World Forum on Gastronomy Tourism ครั้งที่ 4
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ประเทศไทยเสนอตัวขอรับเป็นเจ้าภาพจัดงาน UNWTO World Forum on Gastronomy Tourism ครั้งที่ 4 ในปี พ.ศ. 2561 ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
กก. รายงานว่า ประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการจัดงาน UNWTO World Forum on Gastronomy Tourism ประเทศไทยสามารถใช้โอกาสการจัดงานดังกล่าวในการสร้างภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นด้านการท่องเที่ยวของไทยเพื่อให้เกิดการสร้างงานสร้างรายได้ และทำให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการท่องเที่ยวของประเทศไทยในระยะยาว อีกทั้งเป็นการเสริมสร้างมิตรภาพและเครือข่ายการทำงานระหว่างหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอาหารในทุกภูมิภาค รวมทั้งจะเป็นการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวเชิงอาหารและผลักดันให้ประเทศไทยมีการพัฒนาไปเป็น “ครัวโลก” (Kitchen of the World) ผ่านการท่องเที่ยวซึ่งเป็นรายได้หลักของประเทศไทย
9. เรื่อง องค์กรร่วมไทย–มาเลเซียขอเสนอการให้คำรับรองการมีผลบังคับใช้ต่อไปของบันทึกความเข้าใจราชอาณาจักรไทยและมาเลเซีย เกี่ยวกับการจัดตั้งองค์กรร่วมเพื่อแสวงประโยชน์จากทรัพยากรระหว่างในพื้นดินใต้ทะเลในบริเวณที่กำหนดของไหล่ทวีปของประเทศทั้งสองในอ่าวไทย (MOU 1979) ตามข้อ 6 (2)
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการยืนยันการมีผลบังคับใช้ต่อไปของบันทึกความเข้าใจระหว่างราชอาณาจักรไทยและมาเลเซีย ฉบับลงนามวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2522 (1979) ที่เชียงใหม่ เกี่ยวกับการจัดตั้งองค์กรร่วมเพื่อแสวงประโยชน์จากทรัพยากรในพื้นดินใต้ทะเลในบริเวณที่กำหนดของไหล่ทวีปของประเทศทั้งสองในอ่าวไทย (MOU 1979) ตามข้อ 6 (2) ของ MOU 1979 นั้น และองค์กรร่วมไทย–มาเลเซีย ก็จะยังมีผลต่อไป ตราบเท่าที่รัฐบาลไทยและรัฐบาลมาเลเซียยังไม่สามารถหาข้อยุติในการกำหนดเขตไหล่ทวีประหว่างกันได้ ตามข้อ 6 (2) ประกอบข้อ 3 (1) ของ MOU 1979 ตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอ
สาระสำคัญของ MOU 1979 มีดังนี้
1. ข้อ 3 (1) กำหนดให้จัดตั้งองค์กรร่วมซึ่งจะมีชื่อว่า องค์กรร่วมมาเลเซีย- ไทย (Malaysia –
Thailand Joint Authority : MTJA) เพื่อวัตถุประสงค์ในการสำรวจและแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในพื้นดินใต้ทะเลและใต้ดินที่ไม่มีชีวิตในบริเวณเหลื่อมล้ำกัน ในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย – มาเลเซีย (Joint Development Area : JDA) เป็นเวลาห้าสิบปีนับจากวันที่บันทึกฉบับนี้มีผลบังคับใช้
2. ข้อ 3 (2) กำหนดให้ MTJA จะรวมสิทธิและความรับผิดชอบแทนคู่ภาคีทั้งสองในการสำรวจ
และแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ JDA เพื่อการพัฒนา การควบคุมและการบริการ พื้นที่พัฒนาร่วมกันด้วย
3. ข้อ 4 กำหนดให้ MTJA จะใช้อำนาจทั้งปวงแทนคู่ภาคีเท่าที่จำเป็นสำหรับการปฏิบัติหน้าที่
เกี่ยวกับการสำรวจและการแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่มีชีวิตในพื้นดินใต้ทะเลและใต้ดินในพื้นที่ JDA
4. ข้อ 5 กำหนดให้ค่าใช้จ่ายทั้งปวงที่เกิดขึ้นและผลประโยชน์ให้ MTJA ได้รับจากกิจกรรมที่
ดำเนินไปในพื้นที่ JDA คู่ภาคีจะร่วมรับผิดชอบและแบ่งปันโดยเท่าเทียมกัน
5. ข้อ 6 (1) กำหนดให้ถ้าภาคีทั้งสองสามารถหาข้อยุติสำหรับปัญหาการแบ่งเขตไหล่ทวีปได้ก่อน
กำหนดเวลาห้าสิบปีดังกล่าวให้เลิก MTJA และบรรดาทรัพย์สินที่ได้จัดการและความรับผิดชอบต่าง ๆ ที่ MTJA
ก่อขึ้น ให้คู่ภาคีรับผิดชอบเท่า ๆ กัน อย่างไรก็ดีถ้าคู่ภาคีทั้งสองตกลงก็อาจพิจารณาทำข้อตกลงใหม่ได้
6. ข้อ 6 (2) กำหนดให้ถ้าไม่สามารถหาข้อยุติอันเป็นที่พอใจสำหรับปัญหาการแบ่งเขตไหล่ทวีป
ได้ภายในระยะเวลาห้าสิบปีดังกล่าว ให้ใช้ข้อตกลงที่มีอยู่ต่อไปหลังจากที่พ้นกำหนดระยะเวลาดังกล่าวแล้ว
ดังนั้น เมื่อ MOU 1979 มีผลบังคับใช้ครบ 50 ปี แล้ว MOU 1979 ก็จะยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไป ตามข้อ 6 (2) ของ MOU 1979 และองค์กรร่วมฯ ก็จะยังมีผลต่อไปตราบเท่าที่รัฐบาลไทยและรัฐบาลมาเลเซียยังไม่สามารถหาข้อยุติในการกำหนดเขตไหล่ทวีประหว่างกันได้ ตามข้อ 6 (2) ประกอบข้อ 3 (1) ของ MOU 1979
10. เรื่อง ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสวนพฤกษศาสตร์สาธารณรัฐสิงคโปร์ คณะกรรมการอุทยานแห่งชาติแห่งสาธารณรัฐสิงคโปร์และสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ องค์การสวนพฤกษศาสตร์แห่งราชอาณาจักรไทย ว่าด้วยความร่วมมือด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและพัฒนาศักยภาพบุคลากร
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบการจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสวนพฤกษศาสตร์สาธารณรัฐสิงคโปร์ คณะกรรมการอุทยานแห่งชาติแห่งสาธารณรัฐสิงคโปร์และสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ องค์การสวนพฤกษศาสตร์แห่งราชอาณาจักรไทย ว่าด้วยความร่วมมือด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและพัฒนาศักยภาพบุคลากร หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขถ้อยคำในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าว ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับผลประโยชน์ของไทย ให้องค์การสวนพฤกษศาสตร์ ทส. พิจารณาดำเนินการต่อไป
2. เห็นชอบให้ผู้อำนวยการองค์การสวนพฤกษศาสตร์ เป็นผู้ลงนามบันทึกความเข้าใจฯ
สาระสำคัญของ ร่างบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาความร่วมมือในการปกป้องสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาอย่างยั่งยืน ตลอดจนเสริมสร้างศักยภาพการดำเนินงานบุคลากรและการฝึกอบรมร่วมกัน ซึ่งการดำเนินการในกิจกรรมต่าง ๆ ภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ ฉบับนี้เป็นไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ตลอดจนขั้นตอน และนโยบายของรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับความร่วมมือทางวิชาการระหว่างประเทศของ ทั้งสองประเทศ รวมถึงกฎ ระเบียบ หรือข้อตกลงภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ โดยเฉพาะการดำเนินการตามระเบียบคณะกรรมการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติ (กอช.) ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการเข้าถึงทรัพยากรชีวภาพและการได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากทรัพยากรชีวภาพ พ.ศ. 2554
11. เรื่อง การลงนามเอกสารโครงการและหนังสือความตกลงรับทุนสนับสนุนจากกองทุนสิ่งแวดล้อมโลกภายใต้โครงการพัฒนาเมืองคาร์บอนต่ำผ่านระบบการจัดการเมืองอย่างยั่งยืน
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบการลงนามเอกสารโครงการและหนังสือความตกลงรับทุนสนับสนุนจากกองทุน
สิ่งแวดล้อม (Global Environment Facility : GEF) ร่วมกับโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme : UNDP) ภายใต้โครงการพัฒนาเมืองคาร์บอนต่ำผ่านระบบการจัดการเมืองอย่างยั่งยืน (Achieving Low Carbon Growth in Cities through Sustainable Urban Systems Management in Thailand Project)
2. มอบหมายให้ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกเป็นผู้ลงนามเอกสารโครงการ
และหนังสือความตกลงรับการสนับสนุนฝ่ายไทย
3. มอบหมายให้องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) (อบก.) ทำหน้าที่เป็น
หน่วยดำเนินโครงการ (Implementing Agency) เพื่อดำเนินงานดังกล่าวต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
ทส. รายงานว่า ทส. (อบก.) ร่วมกับ UNDP จัดทำข้อเสนอโครงการพัฒนาเมืองคาร์บอนต่ำผ่านระบบการจัดการเมืองอย่างยั่งยืน (Achieving Low Carbon Growth in Cities through Sustainable Urban Systems Management in Thailand Project) เพื่อสมัครขอรับการสนับสนุนจาก GEF โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเมืองคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน มุ่งเสริมสร้างศักยภาพและกระบวนการในการบูรณาการแนวคิดและการพัฒนาแบบคาร์บอนต่ำลงในระดับท้องถิ่น เพื่อนำไปสู่การพัฒนาเมืองคาร์บอนต่ำอย่างเป็นรูปธรรมใน 4 เมืองนำร่องของประเทศไทย ได้แก่ เทศบาลนครนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา เทศบาลนครขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น เทศบาลนครเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี และเทศบาลตำบลเมืองแกลง จังหวัดระยอง ซึ่งภายหลังได้มีการเปลี่ยนแปลงเมืองที่เข้าร่วม 1 แห่ง คือ เปลี่ยนจากเทศบาลตำบลเมืองแกลงมาเป็นเทศบาลนครเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวจะช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถ และพัฒนาโครงการลดก๊าซเรือนกระจกของเมือง โดยเน้นที่การจัดการขยะ น้ำเสีย และการขนส่งที่ยั่งยืน ซึ่งระยะเวลาดำเนินงาน 4 ปี โดยจะเริ่มในไตรมาสที่ 2 ของปี พ.ศ. 2560 และจะสิ้นสุดในไตรมาสที่ 2 ของปี พ.ศ. 2564
12. เรื่อง รายงานการประชุมหารือระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสและการประชุมระดับรัฐมนตรีภายใต้กรอบความร่วมมือ Abu Dhabi Dialogue ครั้งที่ 4 ณ กรุงโคลัมโบ สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบต่อร่างปฏิญญาโคลัมโบ
2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานรับรองร่างปฏิญญาโคลัมโบ
ร่างปฏิญญาฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวข้องกับการรับแนวปฏิบัติร่วมเพื่อดำเนินนโยบายด้านแรงงาน ข้ามชาติให้สอดคล้องและส่งเสริมซึ่งกันและกันในประเด็นความร่วมมือหลักใน 4 หัวข้อ ได้แก่ 1) การจัดจ้างแรงงาน 2) การพัฒนาและการรับรองทักษะฝีมือแรงงาน 3) การใช้เทคโนโลยีเพื่อการอำนวยความสะดวกและพัฒนาผลสัมฤทธิ์ของการเคลื่อนย้ายแรงงานในภูมิภาคเอเชีย และ 4) การพิจารณาปรับแนวทางดำเนินการให้สอดรับกับข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการโยกย้ายถิ่นฐานที่ปลอดภัยเป็นระเบียบและถูกกฎหมาย
แต่งตั้ง
13. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้ง นางสาวพรวิลัย เดชอมรชัย รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบการเงินการคลัง (นักวิชาการคลังทรงคุณวุฒิ) กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ 6 ธันวาคม 2559 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
14. เรื่อง รัฐบาลสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาประจำประเทศไทย (กระทรวงการต่างประเทศ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ กรณีรัฐบาลสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมามีความประสงค์ขอแต่งตั้ง
อู-มโย-มยินตาน (U MyoMyint Than) ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐ แห่งสหภาพเมียนมาประจำประเทศไทย โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน อู วีน หม่อง (U Win Maung) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
15. เรื่อง สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเอธิโอเปียเสนอขอแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเอธิโอเปียประจำประเทศไทยคนใหม่ สืบแทนคนเก่า (กระทรวงการต่างประเทศ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ กรณีสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเอธิโอเปียมีความประสงค์ขอแต่งตั้ง นายชนินทร์ เย็นสุดใจ ให้ดำรงตำแหน่ง กงสุลกิตติมศักดิ์สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเอธิโอเปียประจำประเทศไทย สืบแทน นายวรศักดิ์ อาโรร่า ซึ่งพ้นจากตำแหน่งเนื่องจากชราภาพ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
16. เรื่อง การแต่งตั้งโฆษกกระทรวงศึกษาธิการ
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการแต่งตั้งโฆษกกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้มีการเปลี่ยนแปลงโฆษก ศธ. จากเดิม นายชัยยศ อิ่มสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็น นายกมล รอดคล้าย เลขาธิการสภาการศึกษา เป็น โฆษก ศธ. ตามที่ ศธ. เสนอ
17. เรื่อง การเปลี่ยนโฆษกประจำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการเปลี่ยนโฆษกประจำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้มีคำสั่ง ที่ 41/2560 ลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2560 แต่งตั้ง นายประลอง ดำรงค์ไทย ผู้ตรวจราชการ ทส. เป็น โฆษกประจำ ทส. แทนนายสุพจน์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ตามที่ ทส. เสนอ
18. เรื่อง ขออนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอแต่งตั้งข้าราชการ
พลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน
2 ราย ดังนี้
1. นางสาวรัจนา เนตรแสงทิพย์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
2. นางวรรณพร เทพหัสดิน ณ อยุธยา ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
19. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน (กระทรวงแรงงาน)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงแรงงานเสนอแต่งตั้ง นายวิวัฒน์ ตังหงส์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงแรงงาน ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
20. เรื่อง แต่งตั้งผู้ว่าการประปานครหลวง
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอการแต่งตั้ง นายปริญญา ยมะสมิต ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการประปานครหลวง และให้ได้รับค่าตอบแทนคงที่ในอัตราเดือนละ 315,000 บาท ตามมติคณะกรรมการการประปานครหลวง ในการประชุมครั้งที่ 12/2559 เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2559 และการประชุมครั้งที่ 1/2560 เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2560 ส่วนค่าตอบแทนและสิทธิประโยชน์อื่น รวมทั้งเงื่อนไขการจ้างและการประเมินผลการปฏิบัติงาน ให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ โดยให้นายปริญญา ยมะสมิต ลาออกจากการเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจก่อนลงนามในสัญญาจ้างด้วย
21. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการบริหารสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้ง นางสาวจุฬารัตน์ สุธีธร เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการบริหารสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (คพพ.) เนื่องจาก รองศาสตราจารย์วรากรณ์ สามโกเศศ ประธานกรรมการคนเดิม จะมีอายุครบเจ็ดสิบปีบริบูรณ์ ในวันที่ 31 พฤษภาคม 2560 โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2560 จนถึงวันที่คณะกรรมการบริหารชุดปัจจุบันครบวาระ ในวันที่ 19 เมษายน 2562
22. เรื่อง การปรับปรุงองค์ประกอบคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาสับปะรดแห่งชาติ และผลการคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิทดแทนตำแหน่งที่ลาออก
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้ง 2 ข้อ ดังนี้
1. ให้เพิ่มเติมองค์ประกอบคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาสับปะรดแห่งชาติ โดยเพิ่ม ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ และเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นกรรมการ
2. ให้ นายพรชัย พูลสุขสมบัติ เป็นกรรมการในส่วนของผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาสับปะรดแห่งชาติ เพื่อทดแทนผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ลาออก
23. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าแห่งชาติ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าแห่งชาติ จำนวน 9 คน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสองปีแล้วเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2559 ดังนี้
1. รองศาสตราจารย์ปานเทพ รัตนากร ผู้แทนมูลนิธิช้างแห่งประเทศไทย
2. นายศศิน เฉลิมลาภ ผู้แทนมูลนิธิสืบนาคะเสถียร
3. พลเอก สุรัตน์ วรรักษ์ ผู้แทนมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด
4. รองศาสตราจารย์นริศ ภูมิภาคพันธ์ ผู้แทนสมาคมศิษย์เก่าวนศาสตร์
5. นายอนรรฆ พัฒนวิบูลย์ ผู้แทนสมาคมอนุรักษ์สัตว์ป่าแห่งประเทศไทย
6. นายชลธิศ สุรัสวดี ผู้ทรงคุณวุฒิที่มิได้มาจากสมาคมหรือมูลนิธิ
7. นายธิติ กนกทวีฐากร ผู้ทรงคุณวุฒิที่มิได้มาจากสมาคมหรือมูลนิธิ
8. นางสาวธำรงลักษณ์ ลาพินี ผู้ทรงคุณวุฒิที่มิได้มาจากสมาคมหรือมูลนิธิ
9. นางสาวสุภาภรณ์ ปิติพร ผู้ทรงคุณวุฒิที่มิได้มาจากสมาคมหรือมูลนิธิ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2560 เป็นต้นไป
24. เรื่อง การแต่งตั้งคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้งคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร จำนวน 47 คน ตามมติคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ ในการประชุม ครั้งที่ 2/2560 เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2560 ดังนี้
1. สาขาการแพทย์และสาธารณสุข 1) ศาสตราจารย์บุญศรี มีวงศ์อุโฆษ 2) ศาสตราจารย์ยง
ภู่วรวรรณ 3) ศาสตราจารย์แสวง บุญเฉลิมวิภาส 4) นายนิพนธ์ โพธิ์พัฒนชัย 5) นายประพาศน์ รัชตะสัมฤทธิ์
6) นายวิชัย โชควิวัฒน
2. สาขาต่างประเทศและความมั่นคงของประเทศ 1) ผู้ช่วยศาสตราจารย์จันทจิรา เอี่ยมมยุรา 2) นายถวิล เปลี่ยนศรี 3) นายรัชนันท์ ธนานันท์ 4) นายวรเดช วีระเวคิน
3. สาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อุตสาหกรรม และการเกษตร 1) ศาสตราจารย์จงรักษ์
ผลประเสริฐ 2) ศาสตราจารย์สมชาติ โสภณรณฤทธิ์ 3) ศาสตราจารย์สุนทร มณีสวัสดิ์ 4) ศาสตราจารย์เกียรติคุณอมเรศ ภูมิรัตน 5) รองศาสตราจารย์ยืน ภู่วรวรรณ 6) นายศุภศิษฏ์ ทวีแจ่มทรัพย์ 7) นายสรรเสริญ อัจจุตมานัส
4. สาขาเศรษฐกิจและการคลังของประเทศ 1) ศาสตรารย์สหธน รัตนไพจิตร 2) รองศาสตราจารย์ธวัชชัย สุวรรณพานิช 3) รองศาสตราจารย์นนทวัชร์ นวตระกูลพิสุทธิ์ 4) รองศาสตราจารย์นิพนธ์ พัวพงศกร 5) นายณรงค์ ราบเรียบ 6) นายเอกพิทยา เอี่ยมคงเอก
5. สาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดิน และการบังคับใช้กฎหมาย 1) พลเอก ประยุทธ เมฆวิชัย 2) พลโท พรเลิศ วรสีหะ 3) พลโท สุขสันต์ สิงหเดช 4) รองศาสตราจารย์ชมพูนุท โกสลากร เพิ่มพูนวิวัฒน์ 5) รองศาสตราจารย์มานิตย์ จุมปา 6) รองศาสตราจารย์สมยศ เชื้อไทย 7) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ปราโมทย์ ประจน
ปัจจนึก 8) ผู้ช่วยศาสตราจารย์วรรณภา ติระสังขะ 9) นางการดี เลียวไพโรจน์ 10) นายจำรัส ศักดิ์จิรพาพงษ์ 11) นายฉัตรรัตน์ หิรัญเชาวิวัฒน์ 12) นายธนะ ดวงรัตน์ 13) นายบัณฑิต ตั้งประเสริฐ 14) นายพีรพล ไตรทศาวิทย์ 15) นายพุทธิสัตย์ นามเดช 16) นายเยี่ยมศักดิ์ คุ้มอินทร์ 17) นางรัศมี วิศทเวทย์ 18) นางวนิดา สักการโกศล 19) นายวัตตะ วุตติสันต์ 20) นายศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล 21) นายสมชาย อัศวเศรณี 22) นายสุขจิตต์ ประยูรหงษ์ 23) นางอัจฉรา อุณหเลขกะ 24) นางสาวอัมพวัน เจริญกุล
…………………………………………………………