"วิลาศ"ซัดสัญญาแบ่งรายได้โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินเหตุเอื้อประโยชน์ บ.เอกชน โยนใก้ซูเปอร์บอร์ดตรวจสอบ พร้อมร้อง "นายกฯ" ทบทวนเปิดประมูลแทนเจรจาตกลง
เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 9 เม.ย. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายวิลาศ จันทรพิทักษ์ อดีต ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ แถลงตั้งข้อสังเกตหลังคณะรัฐมนตรี(ครม.) มีมติเห็นชอบให้บ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ บ.ช.การช่าง จำกัด มหาชน เป็นผู้เดินรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีน้ำเงิน 2 เส้นทาง คือบางซื่อ – ท่าพระ ระยะทาง 13 กม.และหัวลำโพง – บางแค ระยะทาง 14 กม.แทนที่รัฐบาลจะใช้วิธีประกวดราคานั้น ทั้งนี้ รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินมี 3 เส้นทาง คือ1.สายเฉลิมรัชมงคล ระยะทาง 20 กม. สัญญาเริ่มตั้งแต่ปี 2547 หมดปี 2572 ซึ่งสายนี้ รฟม.จะได้ส่วนแบ่งตั้งแต่ปี 59 – 72 โดยปี 59 ได้ส่วนแบ่ง 1% หรือประมาณ 300- 400 ล้านบาท ปี 60 ได้ 2% ปี 63-65 ได้ 5% ปี 66-72 ได้ 15% รวมแล้วประมาณ 5 หมื่นกว่าล้านบาท จากนั้นหลังวันที่ 3 ก.ค.72 รถไฟฟ้าเส้นนี้จะตกเป็นของรัฐ และหากมีการจ้างบริหารก็จะมีการแบ่งรายได้ 15% ทำให้ รฟม.ได้รายได้ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ถ้าสัญญาสิ้นสุดในปี 92 รวมระยะเวลา 20 ปี ประมาณการว่า รฟม.จะได้ส่วนแบ่งรายได้ประมาณ 2 แสนล้านบาท แต่เมื่อ ครม.ใช้วิธีเจรจาตกลง แล้วนำรถไฟฟ้าสายนี้ไปรวมกับส่วนต่อขยาย 2 เส้นดังกล่าว ส่งผลให้ทรัพย์สินที่ควรจะตกเป็นของรัฐ กลับอยู่ในสัญญาใหม่เหมือนเพิ่งเริ่มก่อสร้างเสร็จ โดยในสัญญารัฐจะได้ส่วนแบ่งก็ต่อเมื่อ บ.BEM มีผลตอบแทนเกิน 9.75%
นายวิลาศ กล่าวอีกว่า ในความเป็นจริงไม่มีบริษัทในตลาดหลักทรัพย์รายใดที่ทำกำไรได้เกิน 8% ดังนั้นรัฐจะได้ผลตอบแทนการลงทุน 9.75% ดังกล่าวในชาตินี้หรือไม่ จะแน่ใจได้อย่างไรว่าจะไม่มีการตบแต่งทางบัญชีเกิดขึ้น โอกาสที่จะไม่ได้เงินจากตรงนี้มีมาก ขณะที่การแบ่งเปอร์เซ็นต์จากค่าโดยสารเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ ดังนั้นการทำสัญญาโดยไม่แยกส่วนเช่นนี้ย่อมทำให้รัฐเสียประโยชน์ นอกจากสัญญาใหม่จะไม่ได้ส่วนแบ่งรายได้อล้ว ยังจะเอาของเดิมไปรวมให้เขาอีก รัฐก็ไม่ได้อะไรเลย นอกจากนี้ตามสัญญาเดิมระบุเรื่องการแบ่งรายได้เรื่องค่าพัฒนาเชิงพาณิชย์ของสายเฉลิมรัชมงคล หากมีการโฆษณาในขบวนรถหรือสถานีเดินรถ 13 สถานี บ.BEM จะได้ค่าเช่าแต่จ่ายให้กับ รฟม.ปีละ 50 ล้านบาท บวกกับเงินอีก 7% ของยอดรายได้จากค่าเช่าและค่าโฆษณา ตรงนี้ บ.BEM ต้องไปหาคนมาลงโฆษณา แต่ถ้าไม่สามารถหาโฆษณาได้ รฟม.ก็ยังรายได้แน่นอนปีละ 50 ล้านบาท แต่สัญญาใหม่กลับระบุว่าค่าพัฒนาเชิงพาณิชย์ทั้งหมด ถูกนำไปรวมกับค่าโดยสารทั้งหมด อีกทั้งยังระบุว่าจะแบ่งให้ รฟม.เมื่อมีผลตอบแทนการลงทุน 9.75% ขึ้นไป การรวมตัวเลขทั้งหมดแบบนี้ มีข้อเสียที่อาจจะเกิดการตบแต่งบัญชีขึ้นได้ ที่แย่กว่านั้น คือค่าเช่า ค่าโฆษณา ค่าตั้งเสาโทรคมนาคมในทุกสถานีและในขบวนรถตกเป็น บ.BEM ทั้งหมด จึงขอให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมตรี และหัวหน้าคสช.ทบทวนรายละเอียดของสัญญาใหม่ โดยขอให้ดำเนินการประมูลส่วนต่อขยายทั้งสองเส้นทางทางแทนการใช้วิธีเจรจาตกลง และขอให้นำโครงการดังกล่าวเข้าสู่การตรวจสอบของคณะกรรมการกำกับการจัดซื้อจัดจ้าง