ทวี สุรฤทธิกุล
พรรคการเมืองแนวดิจิตัลกำลังก่อตัวอย่างน่าสนใจในประเทศไทย อยู่ที่ว่าใคร “เล่นเป็น” มากกว่ากัน ซึ่งหมายถึงความรู้และความสามารถในการใช้เทคโนโลยีการสื่อสารในยุคดิจิทัลมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผู้เขียนเพิ่งได้อ่านบทความของผู้ที่ใช้นามแฝงว่า “ทนายบ้าน ๆ” ในสื่อออนไลน์ฉบับหนึ่ง (https://www.isranews.org/article/isranews-article/141586-digital-party.h...) ถ้าเผยชื่อจริงแล้วหลายคนอาจจะทราบว่าท่านเป็นนักวิชาการอาวุโสชื่อดัง แต่ท่านคงต้องการให้ความคิดเห็นของท่านมีอิสระ จึงต้องใช้นามแฝงเพื่อความสบายใจของผู้เขียนและความสุขของผู้อ่าน
ท่านได้อธิบายว่า “พรรคดิจิทัล” (digital party) บางทีก็เรียกว่า พรรคอินเตอร์เน็ต (internet party) หรือ พรรคเครือข่าย (network party) กระทำได้โดยการนำเทคโนโลยีและวิธีการสื่อสารการเมืองสมัยใหม่มาใช้ ซึ่งต้องเปลี่ยนทั้งทางด้านเทคนิค ความรู้และการปฏิบัติพรรคต้องยกเลิกการจัดองค์กรพรรคเป็นระบบราชการ (bureaucratic party) หันไปสร้างเครือข่าย (network party) และเปลี่ยนโครงสร้างพรรคให้แบนราบลง (flat party) และติดต่อกันผ่านทางเทคโนโลยีการสื่อสารสมัยใหม่ให้มากที่สุด แล้วก็ต้องมีการเคลื่อนไหวทางการเมือง (movement) สิ่งสำคัญเบื้องต้นจึงต้องมีแพลตฟอร์ม (platform) ซึ่งเป็นเวทีเสมือนจริง (virtual platform) ในอินเตอร์เน็ต เพื่อให้คนเข้ามาแสดงความคิดเห็น โดยการลงทะเบียนตัวตน หรือสมัครเป็นสมาชิก หลังจากนั้นนำความคิดของคนทั้งหลายมาผลักดันและเคลื่อนไหวทางการเมือง”
จากนั้นท่านก็ได้อธิบายถึงการเกิดขึ้นของพรรคการเมืองแนวดิจิทัล ว่าเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศอิตาลี เมื่อ ค.ศ. 2009 ชื่อ “พรรคขบวนการห้าดาว” (Five Star Movement Party – M5S) เป็นพรรคแนวฝ่ายซ้าย โดยเป็นที่ฮือฮามากในยุคเริ่มต้น เคยได้คะแนนเสียงถึง 25 เปอร์เซ็นต์ ส่วนใหญ่เป็นคะแนนเสียงจากคนรุ่นใหม่กับคนที่ “เบื่อหน่าย” ระบบการเมืองเก่า และยังดำเนินการทางการเมืองมาจนถึงปัจจุบัน มีฐานะคะแนนเสียงขึ้นลงตามภาวการณ์ โดยมีแพลตฟอร์มเป็นของตนเอง ที่สามารถสร้างการมีส่วนร่วมของสมาชิกพรรคได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในการนำเสนอนโยบายและผู้สมัครรับเลือกตั้งในนามของพรรค รวมทั้งเปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนโดยทั่วไปอย่างสม่ำเสมอ
ที่น่าสนใจมาก ๆ ก็คือ ท่านได้เปรียบเทียบพรรคการเมืองต่าง ๆ ของไทยกับการใช้เทคโนโลยีการสื่อสารสมัยใหม่ การสร้างเครือข่าย และสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยให้คะแนนกับพรรคประชาชนตั้งแต่อดีตที่เป็นพรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกลว่าเป็นผู้นำในการพัฒนาสู่พรรคแนวดิจิทัลนี้ รองลงมาก็คือพรรคเพื่อไทย ส่วนพรรคอื่น ๆ รวมถึงพรรคภูมิใจไทยนั้นอยู่ในอันดับท้าย ๆ เพราะไม่ได้ให้ความสำคัญกับแนวทางนี้เท่าใด สำหรับอนาคตของพรรคการเมืองในแนวทางนี้ก็จะขึ้นอยู่กับ “คอนเท้นต์” หรือ “เนื้อหา” ที่จะสร้างกระแสสู่สาธารณะ ซึ่งจะมีความดุเดือดและต่อสู้กันรุนแรงมากขึ้น นั่นก็คือ IO – Information Operation รวมถึงด้วยการเข้ามาของ AI – Artificial Intelligence การสร้างคอนเท้นต์และการจับผิดกันและกันก็จะมีความเข้มข้นมากขึ้น
ผู้เขียนขอเรียกการต่อสู้ของพรรคการเมืองแนวดิจิทัลในอนาคตนี้ว่า “สงครามการสื่อสาร” ซึ่งก็เกิดขึ้นมานานแล้ว เพียงแต่ในสมัยก่อนเป็นการสื่อสารในแบบอนาล็อก พอมาถึงยุคดิจิทัลก็ใช้เทคโนโลยีแตกต่างกันไป กระนั้นรูปแบบและกระบวนการการต่อสู้ก็คงไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก โดยเฉพาะ “การปลุกเร้า” จนถึงขั้น “ปลุกระดม” เพื่อการสร้างฐาน - รักษาฐาน - ขยายฐาน” ทางการเมืองของแต่ละพรรค ที่รวมเรียกว่า “การสร้างความนิยมทางการเมืองให้ยั่งยืน” นั่นเอง
ในสมัยก่อนที่เรายังมีสื่อหลักเป็นหนังสือพิมพ์ วิทยุ และโทรทัศน์ ก็เคยมีข้อครหาว่าแต่ละสื่อเหล่านั้น “เลือกข้าง” หรือมีฝักมีฝ่ายทางการเมือง โดยเฉพาะในระยะหลังที่สื่อได้กลายเป็นธุรกิจสำคัญของประเทศ ก็มีเรื่องราวว่าสื่อได้ถูกพวกทุนธุรกิจต่าง ๆ ครอบงำ รวมถึง “พรรคนายทุน” ที่เติบโตมาครอบงำการเมืองไทยในช่วง 20 กว่าปีมานี้ ทำให้สื่อที่ไม่อิงธุรกิจอยู่ไม่ได้ และต้องล้มหายตายไปในที่สุด กระนั้นเมื่อสื่อดิจิทัลเกิดขึ้นมาอย่างมากมาย สื่ออนาล็อกแบบเก่านั้นก็ค่อย ๆ ล้มหายไป โดยอาจจะเรียกได้ว่าในยุคนี้เป็นยุตที่ “สื่อดิจิทัลครองเมือง”
สื่อดิจิทัลไม่เพียงแต่จะเกิดขึ้นได้ง่าย ได้มาก ได้เร็ว มีต้นทุนต่ำ และแพร่ขยายเข้าถึง “ผู้เสพ - ผู้ใช้” ได้อย่างรวดเร็วในจำนวนมหาศาลแล้ว ยังมี “อานุภาพ” อย่าง “น่าทึ่ง - น่ากลัว” อีกด้วย
อานุภาพนี้ก็คือ สื่อดิจิทัลมีความสามารถในการสร้าง “กลุ่มสนใจ” หรือที่ในศัพท์รัฐศาสตร์เรียกว่า Interest Group ได้อย่างเข้มแข็ง ด้วยการสร้างความสนใจ “เฉพาะกลุ่ม” หรือมีลักษณะของการสื่อสารแบบกึ่งปิดกึ่งเปิด โดยเฉพาะการสร้าง “กลุ่มก้อนของความคิดความเชื่อ” (Solidarity of Belief) อันเป็นพลังสำคัญทางการเมือง ลักษณะนี้ก็คือคนที่อยู่ในกลุ่มสื่อสารเดียวกันจะสนใจแต่กิจกรรมและการถ่ายทอดความคิดเห็นของกลุ่ม ไม่สนใจกลุ่มอื่นภายนอก เหมือนม้าแข่งที่ถูกปิดตาให้วิ่งไปในลู่ ไม่สนใจกลุ่มอื่น ๆ ภายนอก ทำให้ “ผู้กุมบังเหียน” สามารถ “จูงจมูก” หรือบังคับให้สมาชิกในกลุ่มแสดงพลังต่าง ๆ ออกไปในแนวทางที่เขาต้องการนั้นได้ ซึ่งในสมัยก่อนเราเรียกการปลุกเร้าผู้คนในแบบนี้ว่า “การโฆษณาชวนเชื่อ – Propaganda” ที่มักจะเกิดขึ้นทีละเล็กละน้อยแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่ในสมัยนี้คงจะต้องเรียกว่า “มหาโฆษณาชวนเชื่อ – Mega Propaganda” ที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงและรวดเร็วในจำนวนคนที่มหาศาล !
โชคดีที่เรามีเทคโนโลยีที่เรียกว่า “AI – Artificial Intelligence - สติปัญญาประดิษฐ์” ที่มีพลังในการตรวจสอบและควบคุมให้การใช้สื่อดิจิทัลอยู่ในสภาวะที่ “พอฟัดพอเหวี่ยง” หรือ “สู้กันได้” ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการเฝ้าติดตามและเรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีดังกล่าว กระนั้นอาวุธที่สำคัญที่สุดก็ยังคงเป็น “HI – Human Intelligence - สติปัญญามนุษย์” ที่จะต้องคอย “กลั่นกรอง - วิเคราะห์ - นำไปใช้” คือต้องแยกแยะก่อนให้ได้ว่า “ควรเชื่อ - ไม่ควรเชื่อ” สื่อใด เริ่มต้นก็ต้องเลือกเสพสื่อดิจิทัลให้ “เปิดกว้าง” คือเข้าไปมีส่วนร่วมและให้รู้ให้เห็นในกลุ่มสื่อต่าง ๆ ทุกกลุ่มให้มากพอสมควร ถ้าเป็นพรรคการเมืองก็ต้องเข้าไป “รู้เห็น” ให้ได้ทุกพรรค และร่วมคิดวิเคราะห์แยกแยะให้กว้างขวาง ก่อนที่จะตัดสินจะว่าจะ “เลือก - ไม่เลือก” พรรคใด
ที่สุดสื่อดิจิทัลจะต้องนำเสนอนักการเมืองที่ต้องถือว่าเป็น “บุคคลสาธารณะ” แล้วนี้อย่าง “เปิดกว้าง” เช่นกัน คือทุกความเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะเป็นการกระทำ คำพูด และท่าทีกับความคิดเห็นต่าง ๆ ของนักการเมืองทั้งหลาย ก็ควรจะต้องถูกนำมาเสนอแก่ “สาธารณะชน” ให้ได้รับรู้รับทราบอยู่ตลอดเวลา
ดั่งนี้แล้วนักการเมืองทั้งหลายก็จะอยู่ในความควบคุมของประชาชนโดยตลอด ซึ่งสิ่งนี้ก็คือพลังทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย คือการควบคุมและตรวจสอบโดยประชาชน หรือประชาชนเป็นใหญ่นั่นเอง
ตอนนี้สื่อดิจิทัลก็ออกฤทธิ์ไปแล้วในหลาย ๆ ประเทศ ที่ประชาชนลุกฮือขึ้นเผาบ้านและทรัพย์สินของพวกนักการเมืองรวย ๆ ก็ด้วยโลกโซเชี่ยลนำภาพความเหลื่อมล้ำนั้นมาเปิดเผย
อ้อ! ในประเทศไทยก็เพิ่งตามจับ “มหาโจร” บางคนมาเข้าคุกจนได้ ในขณะที่พยายามจะบินหนีโดยเจทส่วนตัว แต่ประชาชนก็ช่วยกันไล่ล่ามาได้ด้วยสื่อโซเชียล!