สมบัติ ภู่กาญจน์
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ใช้สิทธิเสรีภาพในการทำ ‘สื่อ’ ด้วยความระลึกเสมอว่า ‘มวลชน’ผู้รับสื่อของตนนั้น เป็น ‘คนไทย’ นับตั้งแต่เปิดหนังสือพิมพ์สยามรัฐรายวันขึ้นเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2493 ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ก็เริ่มลุยงานอย่างหนักในการ ‘เขียนหนังสือ’ทุกลักษณะและทุกวัน ด้วยงานเขียนคอลัมน์แสดงความคิดเห็น, บทบรรณาธิการ,นิยายประจำฉบับ ที่เริ่มตั้งแต่เรื่อง ‘โจโฉ นายกตลอดกาล’(ซึ่งเริ่มต้นที่หนังสือพิมพ์เกียรติศักดิ์ ก่อนที่จะย้ายมาต่อที่หนังสือพิมพ์สยามรัฐ) จน‘โจโฉฯ’จบแล้ว นิยายเรื่อง‘ฮวนนั้ง’ ก็ตามมา และขณะที่เขียนฮวนนั้ง คอลัมน์ตอบปัญหาประจำวัน ก็ยังเกิดตามมาอีก
งานเขียนสารพัดรูปแบบเหล่านี้ อาจารย์คึกฤทธิ์เขียนด้วยความตระหนักเสมอ ว่าคนอ่าน ซึ่งเป็นคนไทยนั้น รัก-ชอบในสิ่งใดบ้าง? และอะไรคือสิ่งที่คนไทยมีอยู่ในส่วนที่เป็นจุดด้อย-จุดดี? และอีกผลงานที่ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ทำได้ดีกว่าผู้อื่น คือ การทำให้คนไทยได้เรียนรู้ หรือได้รู้เท่าทันว่า หลังจากการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงของเมืองไทยเมื่อปี 2475 มาแล้ว คนไทยควรจะต้องคิดหรือมองความเปลี่ยนแปลงทั้งของไทยและของโลก ด้วยสายตาเช่นไร?
จนถึงกลางปี 2494 เมื่อนวนิยายเรื่องฮวนนั้งจบลงแล้ว งานเขียนอีกแนวหนึ่ง ในรูปของนวนิยายที่ชื่อว่า ‘สี่แผ่นดิน’ จึงได้ถูกเริ่มต้นขึ้น และก็ยังไม่หยุดแต่เพียงแค่นั้น ถึงปลายปี 2494 นิตยสารรายเดือนชื่อ ‘ชาวกรุง’ ก็ยังเกิดตามมาอีก อันเป็น “หนังสือรายเดือนแนวเริงรมย์ ที่ออกมาให้คนไทยได้อ่านเรื่องต่างๆเล่น ซึ่งมีครบทุกรสตามแนวทางที่พวกเราถนัด และยินดีที่จะรับเรื่องจากท่านผู้อ่านที่สนใจในการเขียนด้วย ใครมีฝีมือก็ขอให้ลองเขียนส่งมา” นี่เป็นคำตอบของคึกฤทธิ์ ที่ปรากฏในการตอบปัญหาประจำวัน
เกร็ดที่น่าสนใจประการหนึ่งของเรื่องราวในตอนนี้ คุณวิลาศ มณีวัต ซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์เหล่านี้ ได้เขียนเล่าไว้ในหนังสือชื่อ “คึกฤทธิ์ หกรอบ” ว่า
“ ผมจำได้ว่าในการไปเที่ยวเรือครั้งหนึ่ง เมื่อตอนเรากำลังเตรียมตัวจะออกนิตยสารรายเดือนชาวกรุง เราได้ชวนพรรคพวกในสยามรัฐไปกันหมด ทั้งกองบรรณาธิการและกองจัดการ มีเสบียงอาหารในเรือพร้อมบริบูรณ์ทั้งแม่โขงและโซดา การล่องเรือแบบนี้เป็นวิธีหาความสำราญแบบหนึ่งของม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ที่ท่านเป็นคนชอบน้ำ เพราะท่านเกิดกลางแม่น้ำ การได้ล่องเรือจึงเป็นความสุขอย่างหนึ่งของท่าน
ครั้งนั้น เราล่องเรือมุ่งตรงไปยังผักไห่กัน พอเกิดลมพัดแรงตอนดึก ท่านก็ถามผมว่า “ถ้าเรือเกิดล่มขึ้นมากลางดึก...จะว่ายังไง?”
“ก็ตายซีครับ” ผมตอบ “เพราะน้ำแถวนี้ เชี่ยวจะตายไป”
“ ถ้าสมมติว่าเรือโดยสารมาจมลง คนคงตายแยะ...ก็น่าคิดว่า แต่ละคนได้ทำกรรมอะไรเอาไว้ ถึงได้มาตายพร้อมกัน บางคนอาจจะมาเยี่ยมลูก บางคนมาทวงหนี้ บางคนมารับงานยี่เก บ้างก็เป็นโจรหนีเขามา บางคนจะไปบวชลูกชาย หลายๆชีวิตมารวมกันในเรือ..แล้วก็มาตายลง มันน่าจะเป็นนิยายเรื่องหนึ่งได้สบายๆ” ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ เอ่ยขึ้นกับพวกเรา
คุณประมูล อุณหธูป เอ่ยขึ้นบ้างว่า “ผู้หญิงบางคนอาจจะมาหาชู้ ผู้ชายบางคนอาจะมาติดต่อขายฝิ่น....เราลองสอบย้อนต้นขึ้นไปคงพิลึก”
ตอนนั้น ผมกำลังเตรียมการจะออกนิตยสาร ‘ชาวกรุง’รายเดือนอยู่พอดี จึงเรียนกับม.ร.ว.คึกฤทธิ์ว่า “อาจารย์เขียนซีครับ ผมจะได้เอาลงชาวกรุงฉบับแรกเลย”
“ ผมเขียนอะไรต่อมิอะไรลงรายวันจนจะไม่ไหวอยู่แล้ว” ม.ร.ว.คึกฤทธิ์บ่นฮึมฮัม “เอาหยั่งงี้ดีไหม คือผมเขียนตอนต้นเรื่องให้ ตอนเรือล่ม แล้วก็เล่าชีวิตศพแรกให้ว่า เป็นใครมาจากไหน มาทำอะไรในเรือ และกำลังจะไปไหน...แล้วศพที่สอง คุณประหยัดก็เขียนมั่ง ศพที่สามให้คุณประมูลเขียน ศพที่สี่ก็ครูอบ....”
“ดีครับ” เป็นเสียงของคุณประหยัดศรี นาคะนาท “ศพที่ห้า ให้คุณยศ วัชรเสถียร ศพที่หกยกให้คุณ พ. เนตรรังษีเขียนก็ยังไหว..”
“ศพเด็ก ผมรับเขียนเองครับ จะได้สั้นๆหน่อย” ผมว่า
และนั่นก็คือ กำเนิดของหนังสือเรื่อง ‘หลายชีวิต’ ซึ่งพอ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เริ่มศพแรกอย่างเข้มข้นครื้นเครงด้วยชีวิตของเจ้าลอยแล้ว พวกเราก็ถอยกรูด.....แกล้งทำเป็นลืม ไม่ยอมถือตามคำสัญญาระหว่างอยู่ในเรือคืนนั้นที่ว่าจะช่วยกันเขียนคนละศพ สุดท้าย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ก็ต้องรับเหมาเขียนเองหมดทุกศพ”
นี่คือ ความรู้ที่มีอยู่คู่ความสามารถ และอยู่ในพลังทั้งหลาย ที่ คึกฤทธิ์ ปราโมช ใช้ทุ่มเทลงในงานเขียน ที่กระทำอยู่ในช่วงครึ่งปี 2493 ต่อเต็มปี 2494 ผลงานเหล่านี้ ‘เข้าตา’คนไทยที่รักการอ่านหนังสือ ทำให้คนได้รู้จัก ‘สื่อหนังสือพิมพ์’ ชื่อสยามรัฐรายวันมากขึ้น และรู้จักชื่อ คึกฤทธิ์ ปราโมช มากขึ้น ดังเช่นคำบรรยายของเจ้าของจดหมายท่านหนึ่งซึ่งใช้นามว่า ‘ปัญญา’ เขียนจดหมายมาให้คึกฤทธิ์ ปราโมชตอบ โดยขึ้นต้นจดหมายมาดังนี้
“ ผมอ่านสยามรัฐแล้วรู้สึกนับถือหม่อมเอามากๆ เห็นหม่อมเขียนหนังสือได้วันละมากๆเหลือเกิน แทบว่าบทความแทบทุกคอลัมน์จะสำเร็จไปด้วยมือหม่อมทั้งนั้น ยิ่งได้อ่านปัญหาคำถามคำตอบด้วยแล้ว ยิ่งรู้สึกว่าหม่อมคงรู้สึกปวดศรีษะบ้างเป็นแน่ บางปัญหาถามกันซื่อๆก็ดีไป แต่บางปัญหาผมอ่านแล้วรู้สึกกวนประสาทเต็มประดา แต่ถึงจะเป็นเรื่องอะไรๆก็ตาม หม่อมก็สู้ใจเย็นรับฟังและแก้ไขไปได้โดยไม่ขัดข้อง และสมเหตุสมผลเสมอ ผมจึงเกิดความนับถือขึ้นมา เห็นว่าหม่อมทำงานหนังสือพิมพ์ด้วยความขยันขันแข็งและเต็มใจบริการเพื่อประชาชนจริงๆ......”
การทุ่มเททำงานหนัก อย่างรู้จักคนไทย(ส่วนใหญ่) และทำให้คนไทย(ผู้รับสื่อ)ยอมรับ นั่นคือโมเดลคึกฤทธ์ อีกหนึ่งประการ ที่ผมอยากให้ทั้ง ‘คนทำสื่อ’และ ‘คนรับสื่อ’ทุกวันนี้ และในยุคนี้ ได้โปรดพิจารณา ทุกวันนี้เรามีสิ่งเหล่านี้กันอยู่มากน้อยแค่ไหน?
หรือว่าไม่มีเลย!
เงยหน้าขึ้นมามองอะไรให้รอบด้าน ยังมีผลงานมากกว่านี้อีกหลายเท่า ที่คนไทยในอดีต เขาเคยทำให้บ้านเมืองของเรา อยู่รอดต่อมาได้จนถึงทุกวันนี้