สมบัติ ภู่กาญจน์
ต้นเดือนกรกฎาคม พุทธศักราช 2494 รัฐบาลจอมพล ป พิบูลสงคราม ปราบ‘กบฏ’ได้สำเร็จราบคาบ ก็หันมาเข้มงวดกวดขันกับ ‘หนังสือพิมพ์’ ที่ทำหน้าที่ ‘สื่อ’อยู่ในสังคมไทย
สยามรัฐรายวัน เพิ่งจะเกิดและเดินได้มาเพียงหนึ่งปี ด้วยนโยบายที่ว่า “ทำให้เป็นหนังสือพิมพ์ที่สุจริต ไม่เป็นพวกใคร ถือเอาความจริงเป็นใหญ่ เป็นผู้ใหญ่ที่ไม่วู่วาม ทั้งด้านการเสนอข่าวและการแสดงความคิดเห็น มองโลกในแง่ดี มีอารมณ์ขันเป็นครั้งคราว อีกทั้งไม่มีเจตนาเคลือบแฝงที่จะให้คุณให้โทษ แก่ฝ่ายใดหรือบุคคลใด”
ข้อความดังกล่าวนี้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เขียนไว้เอง ในโอกาสครบรอบ 30 ปีสยามรัฐ เมื่อปี พ.ศ. 2523 ที่ผมทำหน้าที่บรรณาธิการอยู่ ผมตัดเก็บข้อความนี้ไว้และยังจำได้ดี
แน่นอนว่า แนวนโยบายนี้ชี้นำเด่นชัดอยู่ในผลงานปีแรก จนทำให้ผู้คนในสังคมไทยได้เริ่มรู้จัก ‘สื่อหนังสือพิมพ์’ชื่อสยามรัฐ ได้สนุกกับการตอบปัญหาประจำวันในสไตล์ของคึกฤทธิ์ และเริ่มจะสนใจเด็กหญิงอายุ 10 ขวบชื่อพลอย ที่มาจากครอบครัวที่ไม่เป็นสุข และกำลังย่างเท้าก้าวข้ามประตูวัง แต่ไม่พ้น ว่าเธอจะต้องไปพบกับสิ่งใด?
รัฐบาลประกาศกฎอัยการศึก ‘สั่ง’ให้หนังสือพิมพ์ทุกฉบับที่จะวางจำหน่าย ต้องส่งมาให้คณะกรรมการตรวจ ก่อนวางตลาดทุกวัน
หม่อมราชวงศ์หนุ่มนักเรียนนอก อดีตส.ส.จังหวัดพระนคร ที่เล่นการเมืองได้สองปี ก็ตัดสินใจเลิกเล่น แล้วหันมาทำหนังสือพิมพ์ เขียนหนังสือด้วยนโยบายดังกล่าว จะเผชิญกับปัญหานี้ด้วยท่าทีใด?
หนังสือพิมพ์สยามรัฐรายวันฉบับประจำวันที่ 5 กรกฎาคม 2494 จึงปรากฏข้อความนี้ขึ้นที่หน้า 1
ติดตามด้วยข่าวพาดหัวที่มีข้อความสองบรรทัด แต่บรรทัดที่สองว่างขาว เพราะถูกสั่งให้ตัด และมุมล่างด้านขวาของหน้า ก็มีแต่ช่องว่างสีขาวเช่นเดียวกัน
นี่คือผลของมาตรการ งาน ‘การเซ็นเซอร์สื่อ’ ที่ปรากฏในปฐมบทของการบริหารราชการไทยในอดีต ที่เกิดขึ้นมานานแสนนานเกิน 60 ปีแล้ว แต่ไม่น่าเชื่อว่า จนถึงวันนี้ คนบางคนยังคิดและเชื่อ ว่าเป็นมาตรการที่ดี
ในหนังสือพิมพ์ฉบับวันเดียวกันนั้น คนทำสื่อชื่อคึกฤทธิ์ ปราโมช ซึ่งพยายามใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ด้วยการควบคุมตัวเองถึงปานนี้แล้ว แต่ก็ยังต้องพบกับมาตรการควบคุมจากรัฐบาลเช่นนี้อีก ส่งเสียง ‘บ่น’ในคอลัมน์ความเห็นของเขาว่า “หากมีความจำเป็นที่จะต้องใช้เสรีภาพอันมีขอบเขตจำกัดแล้ว ข้าพเจ้าจะงดการใช้เสรีภาพนั้นเสียชั่วคราวจะดีกว่า”
หลังจากเสียงบ่นดังกล่าว ในมุมบนหน้าแรกของหนังสือพิมพ์ฉบับประจำวันที่ 6 กรกฎาคม 2494 จึงปรากฏกรอบข้อความเหล่านี้ขึ้น เป็นการยืนยันเจตนาเป็นลายลักษณ์อักษรให้ปรากฏชัดว่า ต่อไปนี้จะไม่มีเรื่องราวเหล่านี้อีกต่อไป
และในวันเดียวกันนั้น พาดหัวข่าวชนิดที่ ‘ไม่เคยปรากฎมาก่อนในหน้าหนังสือพิมพ์รายวันฉบับใดๆในโลก’ ก็ปรากฏขึ้น ดังนี้
ต้นหมากหลังโรงพิมพ์สยามรัฐมี ๑๓ ต้น
ยืนอยู่ได้เพราะเอนอ่อนผ่อนตามลม
ต้นมะขามมีหวังเป็นเขียงปีหน้าแน่
จากนั้นก็มีข่าวรองอีกสองข่าว คือข่าวที่หนึ่ง ฝูงมดง่ามจะขึ้นไปคาบเด็ก 2 ขวบ บนบ้าน และข่าวที่สอง ข้าราชการทุกคนที่ลาบวชปีนี้จะต้องโกนหัว ทุกข่าวล้วนมีข้อเขียนที่ตรงกับเรื่องราวที่พาดหัวเหมือนเช่นข่าวปกติ ที่เคยมีอยู่และมีมาในหน้าหนังสือพิมพ์นี้ทุกประการ
สิ่งเหล่านี้เป็นผลงาน ของการใช้เสรีภาพในการทำสื่อ ของคนทำสื่อชื่อคึกฤทธิ์ ปราโมช ที่ได้สร้างไว้ในอดีตเมื่อ 66 ปีที่ผ่านมา
สยามรัฐรายวันยุคเสรีภาพถูกจำกัดนี้ เริ่มปรากฏตั้งแต่วันที่ 6 กรกฎาคม 2494 ท่ามกลางความแปลกใจของผู้อ่าน ที่ฉงนอยู่ในอารมณ์แรก และขบขันอยู่ในอารมณ์ถัดมา เมื่ออารมณ์เหล่านี้ไม่ได้ก่อผลลบให้แก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และผลในทางตรงข้ามกลับกลายเป็นความสนใจติดตามซื้ออ่านของผู้คนมีมากขึ้น ขณะเดียวกับที่เสียงวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลที่ไม่ใช่รูปธรรมยิ่งเพิ่มมีมากขึ้น ๆ ภาวะการณ์เหล่านี้ ดำเนินไปจนถึงวันที่ 7 กันยายน 2494 การกระทำเหล่านี้ ก็ยุติ เมื่อมีประกาศพระบรมราชโองการเลิกใช้กฎอัยการศึก และรัฐบาลประกาศยุติการตรวจข่าวที่เคยทำมา
เด็กหญิงพลอยเริ่มผ่านเข้าประตูวังหลวงไปได้ หลังจากวันที่ 7 กันยายน 2494 จนกลายเป็นสาวสะพรั่งให้คนได้ติดตามชีวิต เรื่อยมาจนถึงข่าวที่น่าปีติโสมนัสตอนปลายปี ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมราชินีเสด็จนิวัติมาประทับอย่างเป็นการถาวรในประเทศไทย
แต่คึกฤทธิ์ ปราโมช ยังคงทำงานหนัก ในการให้มวลชนรู้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆที่กำลังเกิดขึ้นในโลก และแสดงความคิดเห็นทั้งติติง/สนับสนุน/คัดค้านรัฐบาลจอมพล ป มาอีกถึง 5 ปีเต็ม ก่อนที่รัฐบาลซึ่งใช้อำนาจยาวนานจะถูกปฏิวัติในที่สุด โดยผู้นำรัฐบาลต้องหลบหนีออกจากประเทศ และไปเสียชีวิตที่ดินแดนต่างถิ่นซึ่งไม่ใช่ประเทศไทย
เรื่องราวเหล่านี้ ชี้ให้เห็นว่า การทำงานสำคัญๆทุกอย่าง ไม่ใช่สิ่งที่จะสร้างกันได้ง่ายๆเพียงแค่วันเดียวหรือหนึ่งเดือนหนึ่งปี หรือแค่การยึดถือแนวคิดหรือทฤษฎีฝรั่งเป็นหลัก และก็ค้านตะบันอยู่มุมเดียวกลุ่มเดียวกันโดยไม่นึกถึงคนไทยกลุ่มอื่น แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นได้ในประเทศไทย! การใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ต้องมีพร้อมกับการทำงานหนัก และการใช้เวลาในการทำงาน ที่ผู้ทำต้องทำด้วยเจตนาที่ดี ด้วยสติ ด้วยความสามารถ จากนั้น การยอมรับของสังคมจะค่อยๆติดตามมา
ผมเชื่อว่า สิ่งเหล่านี้คือโมเดลคึกฤทธิ์ ที่ผมพยายามจะนำมาเสนอ แด่ผู้ที่ปราถนาดีต่อชาติ/บ้านเมือง/และคนไทยทั่วประเทศ ไว้ด้วยความปราถนาดีเช่นเดียวกันครับ