"BAM" รับบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ บบส.อารีย์ กว่า 1,300 ล้านบาท เดินหน้าแก้ไขหนี้คืนสู่ระบบเศรษฐกิจ

BAM รับบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ บบส.อารีย์ กว่า 1,300 ล้านบาท เดินหน้าแก้ไขหนี้คืนสู่ระบบเศรษฐกิจ

นายบัณฑิต อนันตมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BAM และนายสันธิษณ์ วัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริหารสินทรัพย์ อารีย์ จำกัด หรือ บบส.อารีย์ ร่วมลงนามในสัญญารับบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ จำนวน 1,172 บัญชี ภาระหนี้เงินต้น 1,334.30 ล้านบาท ซึ่งการให้บริการบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของ บบส.อารีย์ จะเป็นการขยายขอบเขตการดำเนินธุรกิจของ BAM และช่วยสร้างรายได้เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

นายบัณฑิต อนันตมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM กล่าวว่า การลงนามในสัญญาให้บริการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพกับ บบส.อารีย์ มีจำนวน 1,172 บัญชี ภาระหนี้เงินต้น 1,334.30 ล้านบาท ในครั้งนี้จะช่วยทำให้ความร่วมมือการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่มีหลักประกันของ บบส.อารีย์ ประสบผลสำเร็จตามเป้าหมาย โดย BAM เชื่อมั่นว่าเรามีความพร้อมทั้งในด้านประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญของบุคลากรในการเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ ตลอดจนระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ รวมถึงช่องทางการให้บริการลูกค้าอย่างครบวงจร รวมทั้งการมีเครือข่ายสาขาทั่วประเทศทำให้สามารถเข้าถึงลูกค้าได้อย่างทั่วถึงทุกพื้นที่อีกด้วย  

ทั้งนี้ BAM เปิดโอกาสให้ลูกหนี้ทุกรายเข้ามาเจรจาปรับโครงสร้างหนี้เพื่อหาข้อยุติร่วมกัน โดยเจรจาบนพื้นฐานความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้าเป็นหลัก ซึ่งสามารถเจรจาได้ในทุกขั้นตอนแม้ว่าลูกหนี้จะอยู่ในขั้นตอนกระบวนการทางกฎหมายก็ตาม  BAM กับ บบส.อารีย์จะร่วมมือกันดำเนินงานเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับทั้ง 2 องค์กร และช่วยเหลือลูกหนี้ที่สุจริตให้ผ่านพ้นปัญหาหนี้สินไปได้อย่างราบรื่น ซึ่งจะส่งผลให้หนี้เสียได้รับการแก้ไขให้กลายเป็นหนี้ดี เพื่อเป็นฟันเฟืองสำคัญในการสร้างการเติบโตให้กลับคืนสู่ระบบเศรษฐกิจปกติ รวมถึงเป็นการช่วยลดหนี้ภาคครัวเรือนของประชาชนในประเทศตามนโยบายภาครัฐ นอกจากนี้การผนึกกำลังดังกล่าว ยังเป็นการช่วยให้ทั้ง 2 องค์กรสามารถสร้างผลการดำเนินงานได้อย่างแข็งแกร่ง และสร้างการเติบโตให้กับองค์กรได้อย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต

โดยตลอดระยะเวลา 25 ปีที่ผ่านมา BAM ดำรงบทบาทหลักในการแก้ไขปัญหาหนี้ด้อยคุณภาพในระบบสถาบันการเงิน และบริหารจัดการทรัพย์สินรอการขาย จนสามารถแก้ไขปัญหาหนี้ได้ข้อยุติมากกว่า 158,000 ราย คิดเป็นภาระหนี้กว่า 492,000 ล้านบาท และสามารถจำหน่ายทรัพย์สินรอการขายไปกว่า 53,000 รายการ คิดเป็นราคาประเมินกว่า 126,000 ล้านบาท

 

“BAM” ทรานส์ฟอร์มองค์กรสู่ DIGITAL ENTERPRISE ตอกย้ำผู้นำ AMC ยุค 4.0 วางเป้าหมายยกระดับองค์กรสร้างโอกาสเติบโตอย่างยั่งยืน

BAM โชว์ผลงานตลอดระยะเวลา 25 ปี แก้ไขหนี้เสียแล้วกว่า 160,000 ราย ก้าวสู่ปีที่ 25 เดินหน้าทรานส์ฟอร์มองค์กรครั้งใหญ่ กางโรดแมปก้าวสู่ DIGITAL ENTERPRISE เต็มรูปแบบ BAM ได้วางเป้าหมายการ Transformation 3 ส่วนคือ Transformation for People, Transformation for Growth และ Transformation for Efficiency พร้อมยกระดับองค์กรสร้างโอกาสเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว เตรียมส่ง “BAM อิสระ เดอะซีรีส์” 2 เรื่อง ชวนลูกหนี้ BAM ประนอมหนี้ – ดึงคนรุ่นใหม่ซื้อทรัพย์กับ BAM ออนแอร์ลงสื่อโซเชียลผ่านแพลตฟอร์ม Facebook, YouTube และ TikTok : BAM Thailand เริ่ม 18 พ.ย.นี้

เมื่อวันที่ 15 พ.ย.67 นายบัณฑิต อนันตมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM เปิดเผยว่า “BAM” ดำเนินธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (NPL) และทรัพย์สินรอการขาย (NPA) มีภารกิจหลักคือการบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ที่มีส่วนช่วยเหลือลูกหนี้และแก้ไขปัญหาให้กับสถาบันการเงิน ช่วยฟื้นฟูธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยพัฒนาทรัพย์สินรอการขายที่มีศักยภาพให้เป็นทรัพย์สินที่ได้มาตรฐาน และเป็นที่ต้องการของตลาดมากยิ่งขึ้น โดยเป็นองค์กรที่มีความพร้อมในการเข้าไปรับจัดการบริหารหนี้จากสถาบันการเงินทุกแห่ง และมุ่งมั่นเป็นองค์กรหลักในการพลิกฟื้นสินทรัพย์เพื่อช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งตลอดระยะเวลาของการดำเนินธุรกิจ 25 ปี  BAM สามารถช่วยเหลือลูกหนี้ให้ได้ข้อยุติจากการแก้ไขปัญหาหนี้เป็นจำนวนกว่า 160,000 ราย คิดเป็นภาระหนี้มีเงินต้นกว่า 480,000 ล้านบาท เปรียบเสมือนแก้มลิงที่ช่วยรองรับหนี้เสียไม่ให้ไหลเข้ามาท่วมระบบสถาบันการเงิน และสามารถจำหน่ายทรัพย์ไปแล้วเป็นจำนวนกว่า 53,000 รายการ คิดเป็นราคาประเมินกว่า 123,000 ล้านบาท โดยเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ระบบเศรษฐกิจเกิดความยั่งยืนได้ต่อไป

ทั้งนี้ BAM มีนโยบายการดำเนินธุรกิจ เปิดโอกาสให้ลูกหนี้ทุกรายเข้ามาเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อหาข้อยุติร่วมกัน ด้วยเงื่อนไขที่ยืดหยุ่น ผ่านวิธีการต่างๆ เช่น การปรับลดหนี้ การโอนตีทรัพย์ชำระหนี้ การให้ลูกหนี้สามารถซื้อคืนทรัพย์หลักประกันได้ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีโครงการต่างๆ ช่วยเหลือลูกหนี้ เช่น “โครงการสุขใจได้บ้านคืน” ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของ BAM ที่ต้องการคืนทรัพย์หลักประกันทั้งที่อยู่อาศัยหรือที่ทำกินให้แก่ลูกหนี้ และในโอกาสครบรอบ 25 ปี BAM ได้เปิดโอกาสให้ลูกหนี้ที่มีหลักประกันไม่เกิน 25 ล้านบาท ชำระหนี้เพียง 80% ของราคาประเมิน ในอัตราดอกเบี้ย 0% นาน 25 เดือน ผ่อนชำระไม่เกิน 25 ปี และ “โครงการ BAM ช่วยฟื้นคืนธุรกิจ” สำหรับลูกหนี้กลุ่ม Startup และ SME ที่มีภาระเงินต้นต่อรายไม่เกิน 25 ล้านบาท ชำระหนี้เพียง 80% ของราคาประเมิน อัตราดอกเบี้ย 0% นาน 25 เดือน ผ่อนชำระไม่เกิน 25 ปี ขณะเดียวกัน BAM ได้ออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มเปราะบางในช่วงที่เศรษฐกิจยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ โดยปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% เป็นเวลา 6 เดือน ตั้งแต่ 1 มิ.ย.-30 พ.ย.67 สำหรับลูกหนี้ที่ปรับโครงสร้างหนี้และยังมีการผ่อนชำระอยู่

“BAM เปิดโอกาสให้ลูกหนี้ทุกรายสามารถเข้ามาเจรจาประนอมหนี้เพื่อหาข้อยุติร่วมกัน บนพื้นฐานการพิจารณาถึงความสามารถที่แท้จริง และกำลังการผ่อนชำระของลูกหนี้ เพื่อหาแนวทางที่เหมาะสม ซึ่งหากลูกหนี้ได้รับจดหมายเชิญเข้ามาประนอมหนี้กับ BAM โปรดอย่าลังเลที่จะตัดสินใจเข้ามาหา BAM เราจะดูแลลูกหนี้ทุกรายของเราเสมือนเป็นลูกค้าชั้นดีของธนาคารพาณิชย์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าว

         

ดร.ธนกร หวังพิพัฒน์วงศ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BAM กล่าวว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีซึ่งเป็น Mega Trend เข้ามามีบทบาทอย่างรวดเร็วในทุกภาคส่วน BAM ได้วางแนวทางขององค์กรฯ เพื่อให้ทันต่อธุรกิจในยุคดิจิทัล 4.0 โดยมีเป้าหมายการ Transformation 3 ส่วน ได้แก่ 1.) Transformation for People มีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ BAM ทั้งหมด ได้รับ "ประสบการณ์" ที่ดี เช่น การตั้งเป้าหมายให้ลูกค้าได้รับแผนประนอมหนี้ที่ตรงกับความต้องการและเงื่อนไขของตนเองให้เร็วที่สุด ไม่ว่าจะเป็น การ Digitalization กระบวนการในการส่งจดหมาย Hello Letter หรือจดหมายเชิญประนอมหนี้ รวมไปถึงการจัดทำระบบ BAM Choice ซึ่งเป็นระบบ Mobile Application ที่ลูกหนี้สามารถเห็นแผนประนอมหนี้ที่เหมาะสมกับตนเอง ตลอดจนการขอเจรจาปรับเปลี่ยนแผนประนอมหนี้ผ่านทางออนไลน์ได้ ซึ่ง BAM Choice ยังอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าในการชำระเงินผ่านทางช่องทางออนไลน์ และจะช่วยเพิ่มความสะดวกให้แก่ลูกค้าอีกด้วย ในปัจจุบัน BAM เตรียมนำระบบ AI มาช่วยในการประเมินกำลังความสามารถในการชำระเงินของลูกหนี้ และวิเคราะห์แผนการปรับโครงสร้างหนี้ที่เหมาะสมกับลูกหนี้อีกด้วย

2.) Transformation for Growth มีเป้าหมายเพื่อนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการเพิ่มยอดผลเรียกเก็บและช่วยลดค่าใช้จ่าย โดยทำ Digitalization Channel ในการสื่อสารกับลูกค้าแบบครบวงจร เพื่อให้ลูกค้าที่เข้ามาติดต่อ BAM ทุกช่องทางได้รับประสบการณ์ที่ดีในการให้บริการ นอกจากนี้ การนำ Data มาใช้ในการวิเคราะห์และช่วยในการตัดสินใจเพื่อให้การบริหารหนี้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น 3.) Transformation for Efficiency ได้มีการจัดทำระบบบริหารจัดการสินทรัพย์ เพื่อให้กระบวนการในการติดตามและแก้ไขหนี้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยจัดหาเครื่องมือทางด้านดิจิทัล ที่ช่วยให้พนักงานสามารถใช้ระบบสารสนเทศระดับองค์กร (Enterprise Information System: EIS) เพื่อนำข้อมูลมาใช้ในการดำเนินงานและการตัดสินใจ

นอกจากนี้ในโอกาสครบรอบ 25 ปี BAM ได้จัดทำซีรีส์ภายใต้ธีม “อิสระ เดอะซีรีส์ : BAM ทางออกสู่อิสระ” 2 เรื่องได้แก่ ซีรีส์ “BAM อิสระจากวังวนหนี้” มีเนื้อหาเกี่ยวกับการเปิดโอกาสให้ลูกหนี้ของ BAM เข้ามาประนอมหนี้และช่วยให้ลูกหนี้สามารถซื้อคืนทรัพย์หลักประกันได้ และ “BAM  ฝันมีทรัพย์เป็นจริง” สานฝันชีวิตของคนทำงานวัยเริ่มต้นจากการซื้อทรัพย์ BAM ทั้งการซื้อเพื่อเป็นบ้านอยู่อาศัยและซื้อเพื่อการลงทุน โดยจะออนแอร์บนสื่อโซเชียลมีเดียผ่านแพลตฟอร์ม Facebook, YouTube และ TikTok : BAM Thailand ตั้งแต่วันที่ 18 พฤศจิกายน – 20 ธันวาคม 2567                                 

BAM ได้รับคัดเลือกจากสถาบันไทยพัฒน์ให้อยู่ในรายชื่อ ESG 100 ประจำปี 2567 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ตอกย้ำการดำเนินธุรกิจมุ่งเน้นการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน

บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (BAM)  ผู้นำธุรกิจบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและทรัพย์สินรอการขาย ได้รับคัดเลือกจากสถาบันไทยพัฒน์ให้อยู่ในรายชื่อ ESG 100 ประจำปี 2567 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ด้วยการคัดเลือกจาก 920 หลักทรัพย์จดทะเบียน ให้เป็นบริษัทที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ตอกย้ำภาพการดำเนินธุรกิจที่มุ่งเน้นการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนตลอดมา

นายบัณฑิต อนันตมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า BAM ให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อแนวทางการดำเนินงานด้านความยั่งยืน ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม รวมทั้งการดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาลและการกำกับดูแลกิจการที่ดี พร้อมขับเคลื่อนโครงการต่างๆที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน ทั้งต่อองค์กรและผู้มีส่วนได้เสีย ภายใต้แนวคิด 5 ดี ประกอบด้วย ดีต่อพนักงาน ดีต่อผู้ถือหุ้น ดีต่อลูกค้าหรือลูกหนี้ ดีต่อสังคม และดีต่อประเทศ  เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามวิสัยทัศน์ขององค์กร คือ เป็นองค์กรหลักในการพลิกฟื้นสินทรัพย์ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งของโครงการภายใต้กรอบความยั่งยืนของ BAM ตัวอย่างเช่น โครงการปลูกป่าCare the Wild ที่ดำเนินการร่วมกับกรมป่าไม้และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เพื่อมุ่งหวังการสร้างความตระหนักให้เห็นความสำคัญของสิ่งแวดล้อม ตามแนวคิดการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับประเทศ และเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหาสภาวะโลกร้อน (Global Warming) ประกอบกับเป็นการสร้างการมีส่วนร่วมกับชุมชน เพื่อให้คนในชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้น สามารถพึ่งพาตนเองได้ และทำให้เศรษฐกิจ
มีความยั่งยืน นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการส่งเสริมด้านสิทธิมนุษยชน โดยปฏิบัติต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม ตลอดกระบวนการดำเนินธุรกิจอย่างเท่าเทียม ส่งผลให้ BAM เติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนตลอดระยะเวลา 25 ปีที่ผ่านมา

ขณะที่การจัดอันดับบริษัทจดทะเบียนด้านการพัฒนาความยั่งยืนของธุรกิจนี้ ถือเป็นแหล่งข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียน เพื่อรองรับความต้องการของผู้ลงทุนที่ให้น้ำหนักการลงทุนในบริษัทที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และธรรมาภิบาลเป็นสำคัญ และเป็นทางเลือกให้ผู้ลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีคุณภาพและได้รับผลตอบแทนที่มิได้ด้อยไปกว่าการลงทุนในแบบทั่วไป

 

"BAM" เปิดตัว Mobile AMC แห่งแรกในประเทศไทย App เดียวจบ ครบทุกฟังก์ชัน

BAM เปิดตัว “BAM Choice” AMC Mobile Application แบบครบวงจรแห่งแรกในประเทศไทย มุ่งหวังเป็นแพลตฟอร์มที่ตอบโจทย์ลูกค้าปรับโครงสร้างหนี้ (NPL) และลูกค้าซื้อทรัพย์ (NPA) ให้เข้ามาทำธุรกรรมต่างๆ ผ่านโทรศัพท์มือถือได้ด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบยอดค้างชำระ ชำระเงินออนไลน์ และแจ้งเตือนอัตโนมัติเมื่อครบกำหนดชำระ รวมถึงเมนูประนอมหนี้ออนไลน์ (E-TDR) ที่จะเพิ่มความสะดวกให้ลูกหนี้ สามารถกำหนดแผนและปรับเปลี่ยนแผนประนอมหนี้ได้บนช่องทางออนไลน์ พร้อมมีเมนูค้นหาและจองซื้อทรัพย์ที่ได้รวบรวมทรัพย์สินรอการขายทำเลดีราคาโดนของ BAM จำนวนกว่า 18,000 รายการ ให้ลูกค้าได้เลือกช้อปผ่านหน้าจอ

นายบัณฑิต อนันตมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM กล่าวว่า BAM เตรียมเปิดตัว Mobile AMC ครบวงจร (One Stop Service) แห่งแรกในประเทศไทย ด้วยแพลตฟอร์มตอบโจทย์การให้บริการลูกหนี้ปรับโครงสร้างหนี้ และลูกค้าซื้อทรัพย์สินรอการขาย ด้วยการสร้างระบบการให้บริการลูกค้าผ่านช่องทาง Online โดยมีระบบการชำระเงิน ตรวจสอบภาระหนี้ ปรับโครงสร้างหนี้  รวมทั้งการซื้อทรัพย์ผ่าน Mobile Application ชื่อ BAM Choice ทั้งนี้ แอปพลิเคชัน BAM Choice จะแบ่งการเปิดใช้งานออกเป็น 2 เฟส โดยเฟสแรกจะเริ่มเปิดให้บริการในเดือนมิถุนายนนี้ โดยจะเปิดให้ลูกค้าลงทะเบียนสมัครสมาชิกเพื่อรับข้อมูลข่าวสาร โดยเฉพาะโปรโมชั่น และสิทธิประโยชน์สำหรับลูกหนี้และลูกค้า รวมถึงสามารถตรวจสอบยอดภาระหนี้คงเหลือ ชำระหนี้ออนไลน์ ดูใบเสร็จรับเงิน และมีระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติเมื่อครบกำหนดชำระ ในขณะที่ลูกค้าซื้อทรัพย์สามารถดูรายการทรัพย์ที่น่าสนใจ โดยมีช่องทางในการติดต่อเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบ และมีโปรแกรมคำนวณสินเชื่อ ต่อจากนั้น ในเฟสที่สอง ลูกหนี้สามารถกำหนดแผน และปรับเปลี่ยนแผนประนอมหนี้ได้ผ่าน BAM Choice Application รวมถึงการจัดทำ E-KYC ซึ่งในส่วนของลูกค้าที่สนใจทรัพย์สินรอการขายของ BAM จะสามารถจองซื้อทรัพย์และนัดหมายเจ้าหน้าที่เพื่อไปดูทรัพย์ได้ โดยลูกค้าที่ซื้อทรัพย์แบบผ่อนชำระก็สามารถดูยอดคงเหลือการผ่อนชำระ การชำระค่างวด และดูใบเสร็จรับเงินผ่าน Application ดังกล่าว ซึ่งบริการแบบครบวงจรจะแล้วเสร็จภายในไตรมาสสามของปี 2567 นี้

นายบัณฑิตกล่าวอีกว่า BAM วางเป้าหมายในการเป็น Digital Enterprise ในอนาคต ซึ่งต้องมีการเตรียมความพร้อมองค์กรในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการสร้างระบบบริหารจัดการสินทรัพย์ (New Cores System) ที่ถือว่าเป็นหัวใจหลักของธุรกิจ AMC ซึ่งจะประกอบไปด้วยระบบสำหรับงาน NPL  NPA ระบบเกี่ยวกับงานคดี รวมทั้ง ระบบบัญชีการเงิน การจัดซื้อจัดจ้าง เป็นต้น ขณะเดียวกัน การเป็น Digital Enterprise จำเป็นต้องมีการบริหารจัดการข้อมูลที่ครบถ้วนถูกต้องแม่นยำ (Data Management)  และสามารถนำมาใช้ในการวิเคราะห์ ประมวลผลเพื่อประกอบการตัดสินใจได้ ดังนั้น BAM ได้มีการสร้างศูนย์ข้อมูลกลาง (DATA Center) เพื่อให้สามารถใช้ข้อมูลองค์กร และการจัดทำรายงานทั้งหมด โดยมีข้อมูลจากแหล่งเดียวกัน เพื่อกลายเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data Driven Organization)    รวมถึงระบบ Lead Management   ที่จะช่วยรวบรวมข้อมูลกลุ่มเป้าหมายที่สนใจสินค้าของ BAM และความต้องการของกลุ่มลูกหนี้เพื่อนำมาใช้ในการปรับโครงสร้างหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งได้เตรียมนำ AI มาช่วยในการวิเคราะห์ลูกหนี้ ทำให้สามารถจำแนกลูกหนี้กลุ่มต่าง ๆ เพื่อหาแนวทางบริหารจัดการที่เหมาะสมต่อไป

โดยหัวใจสำคัญที่จะผลักดันให้การเป็น Digital Enterprise ประสบความสำเร็จนอกเหนือจากการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการแล้ว การพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับอนาคต Capability Development มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น BAM จึงวางแผนพัฒนาบุคลากรรายบุคคล (Individual Development Plan) อย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะการพัฒนาทักษะที่สำคัญและเหมาะสมกับการทำงาน พร้อมทั้งการจัดทำแผนพัฒนา Successor & Talent และพัฒนา Core Capability เช่น งานสำหรับเจ้าหน้าที่ปรับโครงสร้างหนี้ เจ้าหน้าที่จัดการและจำหน่ายทรัพย์ รวมทั้ง งานคดี งานประเมินราคาทรัพย์สิน

     

#BAM #MobileAMC #ข่าววันนี้ #ประนอมหนี้ออนไลน์ 

 

"ออมสิน" ผนึก "BAM" ร่วมทุน 1,000 ล้าน ตั้งบริษัท “ARI-AMC” เร่งช่วยลูกหนี้ NPLs และ NPA    

“ธนาคารออมสิน” เดินหน้าธนาคารเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง ช่วยเหลือคนไทยระดับฐานราก เข้าถึงสินเชื่อสถาบันการเงิน ลดความเหลื่อมล้ำ แก้ความยากจน แก้หนี้ครัวเรือนตามนโยบายของรัฐบาล ล่าสุด ธนาคารออมสิน โดยนายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ได้ลงนามการร่วมกับบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM โดยนายบัณฑิต อนันตมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ฯ เพื่อร่วมทุนจัดตั้งบริษัท บริหารสินทรัพย์อารีย์ จำกัด หรือ ARI-AMC เดินหน้าแก้ปัญหาหนี้ทั้งระบบของรัฐบาล ซึ่งมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ และนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ร่วมเป็นประธาน และมีนายธีรัชย์ อัตนวานิช ประธานกรรมการธนาคารออมสิน พร้อมด้วยนางทองอุไร ลิ้มปิติ ประธานกรรมการ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ร่วมเป็นสักขีพยาน ณ ธนาคารออมสิน สำนักงานใหญ่  

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่า จากปัญหาหนี้ครัวเรือนในประเทศ เป็นปัญหาเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยมาเป็นเวลานาน โดยเฉพาะหลังเกิดวิกฤตโควิด-19 ผู้ประกอบการรายย่อย SMEs และประชาชนจำนวนมาก ขาดสภาพคล่องไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามปกติ จนกลายเป็นหนี้เสีย (NPLs) รัฐบาล ภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มีนโยบายช่วยเหลือประชาชนลดภาระหนี้และประกาศเป็นนโยบายแก้ไขหนี้ทั้งระบบ โดยมอบหมายให้ธนาคารออมสินจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ในรูปแบบกิจการร่วมทุน (Joint Venture Asset Management Company : JV AMC) เพื่อแก้ไขปัญหาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของลูกหนี้สถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) โดยเพิ่มความคล่องตัวให้สามารถแก้ไขปัญหาให้กับลูกหนี้ได้มากขึ้น เนื่องจากสามารถโอนหนี้บางส่วนของ SFIs ไปยังบริษัทร่วมทุนที่จัดตั้งขึ้น ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการหนี้โดยเฉพาะ ธนาคารออมสินจึงได้ร่วมกับบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM จัดตั้งบริษัท บริหารสินทรัพย์อารีย์ จำกัด หรือ ARI-AMC มีวัตถุประสงค์หลักเป็นธุรกิจเพื่อสังคม โดยมีกำไรในระดับที่เหมาะสมเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ ทั้งที่เป็น NPLs และ NPA ได้เข้ากระบวนการปรับโครงสร้างหนี้หรือไกล่เกลี่ยหนี้ มีโอกาสหลุดพ้นจากการเป็นผู้เสียประวัติทางเครดิตได้เร็วขึ้น กลับมาเป็นสถานะหนี้ผ่อนปกติหรือหนี้ปิดบัญชีจะทำให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ในอนาคต และลดการพึ่งพาหนี้นอกระบบได้ ทั้งหมดนี้จะส่งผลดีต่อภาวะเศรษฐกิจในภาพรวมให้มีเสถียรภาพและช่วยลดปัญหาหนี้ครัวเรือนให้กับประเทศได้อย่างยั่งยืนต่อไป    

โดยบริษัท บริหารสินทรัพย์อารีย์ จำกัด จัดตั้งขึ้นด้วยทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท มีสัดส่วนการร่วมทุนเท่ากันที่ร้อยละ 50 และมีระยะเวลาดำเนินการไม่เกินกว่า 15 ปี นับตั้งแต่วันที่เริ่มดำเนินการ โดยดำเนินธุรกิจบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ในระยะแรกจะรับซื้อและรับโอนหนี้จากธนาคารออมสินเพียงแห่งเดียวก่อน เป็นการรับซื้อหนี้สินเชื่อทั่วไปทั้งที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกัน เป็นกลุ่มลูกหนี้สินเชื่อรายย่อย SMEs รวมถึงหนี้บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด ที่มีสถานะ NPLs หนี้สูญ รวมถึง NPA ที่มียอดหนี้ไม่เกิน 20 ล้านบาท ครอบคลุมลูกหนี้ที่ยังไม่ดำเนินคดี และดำเนินคดีแล้วที่ยังมีสิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย ทั้งนี้ บริษัทจะมีการรับซื้อหนี้ในราคายุติธรรม และคำนึงถึงประโยชน์ที่ลูกหนี้จะได้รับสอดคล้องจากความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้แต่ละราย ซึ่งจะมีความยืดหยุ่นและหลากหลาย อาทิ การปรับลดเงินต้น ปรับลดอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมต่างๆ หรือการตัดหนี้บางส่วนให้กับลูกหนี้ เป็นต้น คาดว่าในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2567 จะสามารถเริ่มรับซื้อและรับโอนหนี้จากธนาคารออมสิน และจะมีลูกหนี้ได้รับความช่วยเหลือจำนวนกว่า 500,000 บัญชี หรือคิดเป็นมูลหนี้เงินต้นกว่า 45,000 ล้านบาท และในอนาคตจะขยายการดำเนินการให้ครอบคลุมการรับซื้อหนี้ประเภทอื่น รวมถึงหนี้ของ SFIs อื่น ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง 

ขณะที่ นายบัณฑิต อนันตมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM กล่าวว่า BAM ดำรงบทบาทหลักในการแก้ไขปัญหาหนี้ด้อยคุณภาพในระบบสถาบันการเงิน และบริหารจัดการทรัพย์สินรอการขายตลอดระยะเวลา 25 ปีที่ผ่านมา จนสามารถแก้ไขปัญหาหนี้ให้ได้ข้อยุติมากกว่า 155,000 ราย คิดเป็นภาระหนี้กว่า 480,000 ล้านบาท และยังสามารถจำหน่ายทรัพย์สินรอการขายไปกว่า 52,000 รายการ คิดเป็นราคาประเมินกว่า 122,000 ล้านบาท จากการรับซื้อรับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพมาบริหารจัดการนั้น BAM ตระหนักดีว่ายังมีแนวทางอื่นๆที่สามารถนำมาใช้ในการแก้ไขปัญหา NPLs และ NPA ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งก็เป็นที่มาของความร่วมมือในการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนระหว่างธนาคารออมสิน และ BAM ในวันนี้ โดยบริษัทร่วมทุนดังกล่าวคือบริษัทบริหารสินทรัพย์ ที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้ภาคประชาชนที่กลายเป็นหนี้เสีย ซึ่งได้รับผลกระทบมาจากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่ง BAM จะให้การสนับสนุนบริษัทร่วมทุนโดยให้บริการเกี่ยวกับการรับบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่บริษัทร่วมทุนจะรับซื้อ หรือรับโอนจากธนาคารออมสิน ตลอดจนการให้บริการระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่จำเป็นต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทร่วมทุน 

โดยทั้งสององค์กรมีเจตนารมณ์ที่แน่วแน่ในการสานต่อนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่จะช่วยแก้ไขปัญหาหนี้เสียในระบบสถาบันการเงิน โดยจะร่วมกันวางแผนบริหารกิจการร่วมทุน วางแนวทางในการดำเนินธุรกิจในรูปแบบต่างๆอย่างดีที่สุด มุ่งมั่นช่วยเหลือลูกหนี้ที่สุจริตให้ผ่านพ้นปัญหาหนี้สินไปได้อย่างราบรื่น ซึ่งจะส่งผลให้หนี้เสียได้รับการแก้ไขให้กลายเป็นหนี้ดีกลับคืนสู่ระบบเศรษฐกิจปกติต่อไป และทำให้ BAM ดำรงบทบาทหลักในการพลิกฟื้นสินทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทยได้อย่างยั่งยืนตามวิสัยทัศน์ขององค์กร

“BAM เชื่อมั่นว่าเรามีความพร้อมทั้งในด้านประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญของบุคลากร ตลอดจนระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ การให้บริการลูกค้าในทุกช่องทางอย่างครบวงจร และการมีเครือข่ายสาขาทั่วประเทศ จะช่วยให้ความร่วมมือในการผลักดันการดำเนินงานของบริษัทร่วมทุนลุล่วงไปได้ด้วยดี อีกทั้งทำให้บริษัท บริหารสินทรัพย์อารีย์ จำกัด ที่ก่อตั้งขึ้น สามารถตอบโจทย์การเป็นธุรกิจเพื่อสังคม โดยที่ยังสามารถบริหารจัดการให้ได้รับผลตอบแทนที่ดี ช่วยแก้ไขหนี้ภาคครัวเรือน รวมถึงสามารถจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่ให้รองรับการดำเนินงานตามพันธกิจและนโยบายของภาครัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพ”นายบัณฑิตกล่าว

#ออมสิน #ข่าววันนี้ #BAM #ลูกหนี้ 

 

BAM ผสานพลัง ConnectX ใช้แพลตฟอร์ม CDP เจาะกลุ่มลูกค้า ด้วยกลยุทธ์ MarTech

ดร.ธนกร หวังพิพัฒน์วงศ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้บริหารสูงสุดฝ่ายสารสนเทศและดิจิทัล บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การร่วมมือกับ ConnectX เพื่อนำเทคโนโลยีแพลตฟอร์ม MarTech มาใช้กับธุรกิจและการให้บริการ ช่วยให้ BAM ได้แนวทางทำการตลาดยุคใหม่เข้ามาช่วยขับเคลื่อนธุรกิจ โดยใช้ข้อมูลเป็นพื้นฐานสำคัญและหัวใจหลักในการสร้างแคมเปญหรือโปรโมชั่นที่มีประสิทธิภาพ และสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ ชัดเจน ช่วยให้ BAM สามารถใช้งบการตลาดได้อย่างคุ้มค่า และตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี ซึ่งการใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่เก็บบนแพลตฟอร์ม CDP นั้นเป็นการรวบรวมและปรับข้อมูลของลูกค้าจากแหล่งข้อมูลทั้งหมด แล้วนำมาสร้างโปรไฟล์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวสำหรับลูกค้าแต่ละคน (Comprehensive and unique profiles for each customer) ฐานข้อมูลลูกค้าที่มีความต่อเนื่องนี้จึงกลายมาเป็นส่วนสำคัญในการสร้างแคมเปญการตลาดที่สามารถเจาะกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ และเจาะจงพฤติกรรมของลูกค้ารายบุคคลได้มากที่สุด

ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ BAM สร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องด้วยการใช้แพลตฟอร์ม Customer Data Platform (CDP) นี้ ได้แก่ 1. ฐานข้อมูลลูกค้าแบบศูนย์รวม: ความสามารถของแพลตฟอร์ม CDP ในการรวบรวมข้อมูลลูกค้าจากทุกช่องทางหรือที่เรียกว่า Omni Channel ที่ไม่ว่าลูกค้าจะมาจากช่องทางไหนก็สามารถเก็บรวบรวมและปรับข้อมูลลูกค้าให้เป็นโปรไฟล์ที่ครอบคลุมรายละเอียดของลูกค้ารายบุคคลนั้น ทำให้ BAM มีมุมมองในภาพรวมของลูกค้าดีขึ้น และสามารถทำความเข้าใจความต้องการ พฤติกรรม และแนวโน้มของกลุ่มลูกค้าได้อย่างละเอียด

2.ให้ความสำคัญกับลูกค้าแบบรายบุคคล: มุ่งเน้นการสร้างปฏิสัมพันธ์รายบุคคลแบบเฉพาะเจาะจง ทำให้แคมเปญการตลาดนั้นโดนใจ เพราะลูกค้ารู้สึกว่าข่าวสารและข้อมูลที่ได้รับนั้นเป็นเรื่องที่ตนเองสนใจ และตรงตามความต้องการ 

3. เพิ่มประสิทธิภาพให้กับทีมขาย: เมื่อนำแพลตฟอร์ม MarTech และ CDP มาให้ทีมขายใช้แล้ว จะสามารถสรุปได้ว่า รูปแบบและกลยุทธ์การขายแบบใดที่สามารถปิดการขายได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากที่สุด ทำให้ BAM สามารถนำรูปแบบกลยุทธ์นั้นมาทำซ้ำหรือประยุกต์ใช้ และสร้างเป็นระบบการขายที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น มีเครื่องมือช่วยการขายที่ดีขึ้นจนบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ 

และ 4. การเชื่อมต่อกับระบบ Marketing Automation แบบไร้รอยต่อ: เมื่อรวมพลังของฐานข้อมูลลูกค้าแบบรวมศูนย์บนแพลตฟอร์ม CDP เข้ากับระบบ Marketing Automation เข้าด้วยกันแล้ว ทำให้ BAM สามารถสร้างแคมเปญการตลาดที่เฉพาะเจาะจงสำหรับลูกค้ารายบุคคลได้เป็นจำนวนมาก และสร้างผลตอบแทนจากการใช้เทคโนโลยีอย่างคุ้มค่ามากที่สุด

คุณวรภัทร ศศิบุตร ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท คอนเนคเอ็กซ์ จำกัด กล่าวว่า ในปัจจุบันนี้การนำแพลตฟอร์ม Marketing Automation ไปใช้ในการทำการตลาดมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าคุณจะอยู่ในธุรกิจประเภทไหนก็ตาม เพราะเมื่อคุณเข้าใจตัวตนและความต้องการของลูกค้าของคุณตั้งแต่จุดเริ่มต้นของ Consumer Journey แล้ว คุณก็จะสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ ถูกที่ และถูกเวลามากขึ้น งบการตลาดก็ถูกใช้อย่างเป็นระบบและคุ้มค่ามากที่สุด ดังเช่นในกรณี BAM ที่เมื่อใช้งานแพลตฟอร์มนี้แล้วก็สามารถบรรลุเป้าหมายการเติบโตที่วางไว้ได้อย่างสวยงาม

เรื่องราวความสำเร็จของ BAM นี้เป็นตัวอย่างของบริษัทที่ให้ความสำคัญกับการสร้างฐานข้อมูลที่มีประสิทธิภาพในการสร้างกลยุทธ์การตลาดเพื่อการเจริญเติบโตทางธุรกิจ เพียงลงทุนกับงบประมาณด้านการตลาดก็สามารถพัฒนาประสิทธิภาพให้กับทีมขายได้มากขึ้น 30% และเพิ่มจำนวนฐานลูกค้าได้ถึง 35% ประกอบกับการทำงานของแพลตฟอร์ม CDP และการนำเอา Marketing Automation มาใช้ BAM จึงกลายเป็นผู้นำของธุรกิจบริหารสินทรัพย์ที่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นอย่างยิ่ง 

BAM คาดเคาะร่วมทุนตั้ง AMC แบงก์รัฐ เม.ย.-พ.ค.ทุนประเดิม 500-1,000 ล้านบาท ปีนี้ซื้อหนี้เข้าพอร์ตหมื่นล้านบาท

BAM คาดเคาะร่วมทุนตั้ง AMC แบงก์รัฐ เม.ย.-พ.ค.ทุนประเดิม 500-1,000 ล้านบาท ปีนี้ซื้อหนี้เข้าพอร์ตหมื่นล้านบาท

นายบัณฑิต อนันตมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ (BAM) เปิดเผยว่า การจัดตั้งบริษัทร่วมทุนระหว่างสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐกับบริษัทบริหารสินทรัพย์ คาดว่าทาง BAM และพันธมิตร จะได้ข้อสรุปภายในเดือนเม.ย. หรือต้นเดือนพ.ค.67 โดยที่ BAM จะนำเรื่องดังกล่าวเข้าพิจารณาในบอร์ด ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการพูดคุยพันธมิตร โดยเงินลงทุนเบื้อต้นในการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน AMC กับพันธมิตร คาดว่าจะไม่สูงมากระหว่าง 500-1,000 ล้านบาท โดยจะถือหุ้นฝ่ายละ 50%

"การประชุมบอร์ดจะมีการพิจารณาในเรื่องการ JV ทำ AMC กับพันธมิตร ซึ่งมีการพูดคุยอยู่ โดยการพิจารณาจะดูทั้งความพร้อม Business Model ราคาที่ซื้อ เรื่องของการดำเนินการ การใช้งบประมาณในการเข้าซื้อ โดยหากมีความชัดเจนก็จะมีการแจ้งให้ทราบ และแจ้งตลาดหลักทรัพย์ด้วย ซึ่งเรื่องนี้หลายคนก็ติดตามกันมาค่อนข้างนาน" นายบัณฑิตกล่าว

สำหรับแผนการซื้อหนี้ NPL และ NPA เข้ามาบริหารในปีนี้ยังคงเป็นไปตามแผนที่ตั้งไว้ 9 พันล้านบาท โดยที่ยังมองแนวโน้มว่าสถาบันการเงินจะมีการทยอยนำ NPL และ NPA ออกมาขายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนใหญ่ในปีนี้ BAM จะเน้นไปที่การซื้อหนี้ที่มีหลักประกันในกลุ่มลูกค้ารายกลางและรายใหญ่จากสถาบันการเงิน เช่น โรงงาน ที่ดิน และโกดังสินค้า เป็นต้น เพื่อนำมาปล่อยขายทอดตลาดให้กับกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการได้ และเป็นการกระจายพอร์ตของ BAM ให้มีทรัพย์ที่กระจายไปยังกลุ่มผู้ประกอบการมากขึ้น โดยปัจจุบัน BAM ซื้อหนี้เข้ามาบริหารแล้วราว 4-5 พันล้านบาท 

#BAM #AMC #หนี้เสีย #เอ็นพีแอล #ข่าววันนี้ 

 

 

 

BAM เปิดกลยุทธ์ปี 67 ตั้งเป้าผลเรียกเก็บ 2 หมื่นล้าน ขยายพอร์ตสินทรัพย์เพิ่ม 7 หมื่นล้าน

BAM เปิดแผนกลยุทธ์ปี 67 ชูกลยุทธ์ทั้งการขยายธุรกิจ การดำเนินธุรกิจใหม่ เพื่อสร้างผลเรียกเก็บเข้าเป้า 20,000 ล้านบาท พร้อมเร่งขยายฐานสินทรัพย์เพิ่มอีก 70,000 ล้านบาท เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจของ BAM ให้เติบโตอย่างยั่งยืน ชี้ที่ผ่านมาสามารถช่วยลูกหนี้จนได้ข้อยุติจำนวน 154,178 ราย คิดเป็นภาระหนี้เงินต้น 479,650 ล้านบาท

นายบัณฑิต อนันตมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM กล่าวถึงแผนกลยุทธ์ในการดำเนินงานปี 67 ว่า BAM ได้กำหนดกลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อสร้างผลเรียกเก็บให้เป็นไปตามเป้าหมายปี 67 ที่ 20,000 ล้านบาท และมีเป้าหมายระยะกลางในปี 69 อยู่ที่ 23,300 ล้านบาท ขณะที่การขยายฐานสินทรัพย์มีเป้าหมายลงทุนซื้อคิดเป็นเงินต้นคงค้าง 70,000 ล้านบาท เพื่อรักษาขนาดสินทรัพย์และโอกาสทางธุรกิจของ BAM โดยปัจจุบัน BAM มี NPLs อยู่ที่ 473,636 ล้านบาท และมี NPAs อยู่ที่ 69,807 ล้านบาท ขณะเดียวกัน BAM สามารถช่วยเหลือลูกหนี้ให้ได้ข้อยุติจากการแก้ไขปัญหาหนี้เป็นจำนวน 154,187 ราย คิดเป็นภาระหนี้เงินต้น 479,650 ล้านบาท และสามารถจำหน่ายทรัพย์ไปแล้ว จำนวน 51,420 รายการ คิดเป็นราคาประเมิน 121,378 ล้านบาท

สำหรับกลยุทธ์เชิงรุกเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามที่วางไว้ประกอบไปด้วย การขยายธุรกิจ (Business Expansion) โดยใช้กลยุทธ์การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการ Clean Loan ด้วยการจัดกลุ่มลูกหนี้ Clean Loan ออกเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มที่บริหารเอง กับกลุ่มที่ให้ทนายนอก/Collector บริหารจัดการ เพื่อลดเวลาในการติดตามหนี้ รวมทั้งการดำเนินโครงการกิจการค้าร่วม (Consortium) ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจากับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ 2-3 ราย โดยในเบื้องต้น BAM จะคัดเลือกทรัพย์ประเภทโครงการ เพื่อกำหนดมาตรฐานเงื่อนไข รวมทั้งการกำหนดหน่วยงานขึ้นมาดูแลโครงการดังกล่าว

ขณะที่การดำเนินธุรกิจใหม่ (New Business)  วางแนวทางการร่วมทุนกับสถาบันการเงินซึ่ง BAM จะได้ค่าบริหารจัดการตามสัดส่วนที่มีข้อสรุปร่วมกัน การสร้างรายได้จากค่าธรรมเนียม ด้วยการพัฒนาระบบด้านการสำรวจและประเมินราคาทรัพย์ เพื่อสร้างรายได้จากค่าธรรมเนียมในการดำเนินงานดังกล่าว (แผนระยะกลาง) การพัฒนา Pricing Model ด้วยการลงทุนแบบ Selective เพื่อรับซื้อรับโอนสินทรัพย์ในราคาที่เหมาะสมและยังคงบทบาทหลักในการเป็นแก้มลิงเพื่อรองรับ NPL/NPA เพื่อช่วยพลิกฟื้นระบบเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานด้วยแผนการลดขั้นตอนและระยะเวลาในกระบวนการทางคดี กระบวนการประเมินราคาทรัพย์ รวมถึงปรับปรุงกระบวนการทำงานให้มีความยืดหยุ่น ตลอดจนการปรับปรุงระเบียบ/คำสั่งต่างๆ เพื่อความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน

นอกจากนี้ BAM ยังได้เตรียมความพร้อมในการสร้างบุคลากรด้วยการพัฒนาศักยภาพเพื่อรองรับอนาคต Capability Development ด้วยการจัดทำแผนพัฒนา Successor & Talent และพัฒนา Core Capability อย่างไรก็ตาม BAM ยังตระหนักถึงการขับเคลื่อนองค์กรสู่ความยั่งยืน ซึ่ง BAM ได้รับการประเมินหุ้นยั่งยืน “SET ESG Ratings” 2 ปีซ้อน และมีผลการประเมินที่ระดับ “AA” สะท้อนให้เห็นว่า BAM ได้ยกระดับการดำเนินงานและการจัดทำรายงานความยั่งยืนภายใต้กรอบ ESG รวมทั้ง BAM ยังมีการนำแนวคิดด้านความยั่งยืนเข้าเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการดำเนินธุรกิจ อีกทั้งพร้อมรับมือกับปัจจัยการเปลี่ยนแปลงด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมและให้ความสำคัญกับ ผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนอย่างสมดุล

นายพงศธร มณีพิมพ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายพัฒนาสินทรัพย์ภูมิภาค กล่าวว่า BAM มีสำนักงานสาขาครอบคลุมทั่วประเทศ ซึ่งเครือข่ายสำนักงานภูมิภาคช่วยให้สามารถเข้าถึงลูกค้าและให้บริการลูกค้าได้อย่างทั่วถึง โดยพนักงานในสำนักงานสาขาส่วนใหญ่เป็นคนท้องถิ่น ทำให้มีความเข้าใจสภาวะตลาดในพื้นที่นั้นๆ และเข้าใจความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อ BAM ในการเจาะกลุ่มเป้าหมายการทำตลาดและยังทำให้สามารถประเมินราคาของทรัพย์สินในกระบวนการกำหนดราคาซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและทรัพย์สินรอการขายได้แม่นยำยิ่งขึ้น อีกทั้งมีความสามารถที่จะปรับตัวตามสภาวะตลาดตามความเหมาะสม โดยอาจเปลี่ยนแปลงสถานที่ตั้งสำนักงานสาขาและเปลี่ยนกลยุทธ์ทางภูมิศาสตร์ รวมถึงการโยกย้ายพนักงานที่มีความรู้ความสามารถเพื่อปฏิบัติงานตามพื้นที่ต่างๆ ให้สอดคล้องกับปริมาณธุรกรรมที่เกิดขึ้น ทำให้สำนักงานสาขาเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนผลการดำเนินงานของ BAM ให้ประสบความสำเร็จ ช่วยให้สามารถติดตามและบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและทรัพย์สินรอการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ดร.ธนกร หวังพิพัฒน์วงศ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายสารสนเทศและดิจิทัล กล่าวว่า ปัจจุบัน BAM ได้เร่งสร้างระบบการให้บริการลูกค้าบน Online Platform โดยมีระบบการชำระเงิน และ E-TDR (การปรับโครงสร้างหนี้ออนไลน์) ด้วยการจัดทำ BAM Mobile Application ระบบจองทรัพย์/ชำระเงิน และระบบตรวจสอบภาระหนี้/ชำระหนี้ รวมถึงการบริหารจัดการข้อมูล DATA Management Dashboard ด้วยการสร้างศูนย์ข้อมูลกลาง (DATA Center) เพื่อให้สามารถใช้ข้อมูลสำคัญขององค์กรและรายงานต่างๆ จากแหล่งเดียวกัน ซึ่งเป็นการสร้างคลังข้อมูลขนาดใหญ่ เพื่อกลายเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data Driven Organization) และเป็นเครื่องมือประกอบการตัดสินใจสำหรับการบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันยังได้นำระบบ Lead Management ที่จะช่วยรวบรวมข้อมูลกลุ่มเป้าหมายที่สนใจสินค้าและกลุ่มลูกหนี้ของ BAM ที่ต้องการทราบข้อมูลเบื้องต้นก่อนเข้ามาปรับโครงสร้างหนี้ให้ติดต่อหรือลงทะเบียนเข้ามา เพื่อสร้างโอกาสในการปิดการขาย หรือโอกาสในการปรับโครงสร้างหนี้กับลูกหนี้เพิ่มขึ้น พร้อมกับเตรียมนำ AI มาช่วยในการวิเคราะห์ลูกหนี้ ทำให้สามารถจำแนกลูกหนี้กลุ่มต่างๆ เพื่อหาแนวทางในการบริหารจัดการที่เหมาะสมต่อไป

"BAM" จัดครบเครื่องเรื่องบ้าน by BAM ขอสินเชื่อ หาผู้รับเหมา ต่อเติม รีโนเวทครบจบในงานเดียว

BAM คัดที่อยู่อาศัยพร้อมอยู่ทั่วประเทศกว่า 10,000 รายการ ให้ลูกค้าเลือกช็อปตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2566 ลูกค้าซื้อทรัพย์รับทันที Spot light solar cell  พร้อมรับโปร “โอนเร็ว รับเลย” ฟรีค่าโอนสูงสุด 900,000 บาทต่อรายการทรัพย์  และบัตรกำนัลมูลค่าสูงสุด 100,000 บาท ลูกค้าซื้อทรัพย์อัตราดอกเบี้ยพิเศษจากธนาคารกรุงเทพ หรือเลือกธนาคารยื่นขอสินเชื่อพิเศษออนไลน์  พร้อมฟรีให้คำปรึกษา ปรับปรุง ต่อเติม ซ่อมแซม ประเมินค่าใช้จ่าย จัดหาผู้รับเหมา และร่วมลุ้นรับจักรยานยนต์ไฟฟ้า

นายบัณฑิต อนันตมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM กล่าวว่า ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2566  BAM ได้จัดแคมเปญ “ครบเครื่องเรื่องบ้าน by BAM ” ครบจบในที่เดียวทั้งสินเชื่อสุดพิเศษ เปรียบเทียบธนาคารเพื่อขอยื่นกู้สินเชื่อ ที่ปรึกษาให้ความรู้เรื่องบ้าน โดยคัดทรัพย์ที่อยู่อาศัยพร้อมอยู่ คุณภาพ ทำเลดี ทั้งบ้าน ที่ดิน คอนโด อาคารพาณิชย์ และทรัพย์ราคาพิเศษ จำนวนกว่า 10,000  รายการ มาให้ลูกค้าเลือกช็อป พร้อมลุ้นรับจักรยานยนต์ไฟฟ้า  DECO รุ่น Luciano

ทั้งนี้ BAM ได้จัดแคมเปญครบเครื่องเรื่องบ้าน by BAM โดยลูกค้าซื้อทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัย (บ้าน ทาวน์เฮ้าส์ ห้องชุดพักอาศัย และอาคารพาณิชย์) รับทันที Spot light solar cell  พร้อมรับโปร “โอนเร็ว รับเลย” ฟรีค่าโอนสูงสุด 900,000 บาทต่อรายการทรัพย์ บัตรกำนัลสำหรับเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งมูลค่าสูงสุด 100,000 บาท และร่วมลุ้นรับจักรยานยนต์ไฟฟ้า  DECO รุ่น Luciano 10 รางวัล ลูกค้าที่ยื่นขอเข้าร่วมโครงการผ่อนชำระกับ BAM คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-3% นาน 12 เดือน จากนั้นคิดอัตราดอกเบี้ย MRR BAM ตลอดอายุสัญญา

โดยในงานนี้ BAM ยังได้ร่วมกับพันธมิตร เพื่อให้บริการด้านที่อยู่อาศัยอย่างครบวงจรไม่ว่าจะเป็น ธนาคารกรุงเทพ นำเสนอ “สินเชื่อบัวหลวง” อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 2.15 % ในปีแรก (อัตราดอกเบี้ยเป็นไปที่ธนาคารกำหนด)เว็บไซต์ Refinn.com ซึ่งเป็น Platform ที่ให้บริการในการเปรียบเทียบสินเชื่อธนาคารต่างๆ พร้อมทั้งให้ลูกค้าสามารถยื่นขอกู้ออนไลน์ได้ รวมถึงบริการที่ปรึกษาด้านการปรับปรุง ต่อเติม ซ่อมแซม ประเมินค่าใช้จ่าย จัดหาผู้รับเหมา และบริษัทรับสร้างบ้านที่ทำให้งบประมาณไม่บานปลายจาก BEAVERMAN ปัจจุบัน BAM มีอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นทรัพย์สินรอการขายประเภท บ้าน ที่ดิน คอนโด อาคารพาณิชย์และทรัพย์เพื่อการลงทุนอยู่ในความดูแลกว่า 23,000 รายการ มูลค่าราคาประเมินกว่า 69,000 ล้านบาท ซึ่ง BAM ได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย และจัดโปรโมชั่น/แคมเปญต่างๆ อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี เพื่อให้ยอดการจำหน่ายในปี 2566 เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้

BAM ขายหุ้นกู้ได้ตามเป้า 5,550 ล้านบาท ตอกย้ำความเชื่อมั่นนักลงทุน

BAM เผยนักลงทุนซื้อหุ้นกู้ 4 ชุดได้ยอดเงินตามเป้าหมาย 5,550 ล้านบาท  ผ่านธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกสิกรไทย และธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ชี้ยอดจองซื้อหุ้นกู้สะท้อนความเชื่อมั่นศักยภาพการดำเนินธุรกิจของบริษัท

นายบัณฑิต อนันตมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 12 และวันที่ 15-16 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมาบริษัทได้เสนอขายหุ้นกู้ BAM ซึ่งได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก โดยสามารถขายได้ตามเป้าหมายที่ 5,550 ล้านบาท ซึ่งมีธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด(มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ซึ่งบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัดได้จัดอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทไว้ที่ “A-” เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2566

สำหรับหุ้นกู้ที่ออกเสนอขายในครั้งนี้  เป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ รวมจำนวนทั้งหมด 4 ชุด ประกอบด้วย ชุดที่ 1 อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.24% ต่อปี ชุดที่ 2 อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.55% ต่อปี ชุดที่ 3 อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.60% ต่อปีและชุดที่ 4 อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.22% ต่อปี เสนอขายแก่นักลงทุนสถาบัน และ/หรือ นักลงทุนรายใหญ่ ซึ่งได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี 

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BAM กล่าวอีกว่า การที่หุ้นกู้ของ BAM ได้รับความสนใจจากนักลงทุนสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการลงทุน และความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนที่มีต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัท โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้ไปใช้เพื่อการลงทุนซื้อสินทรัพย์หรือลงทุนในกิจการที่เกี่ยวข้องเพื่อขยายธุรกิจ และเสริมสภาพคล่องของบริษัท ทั้งนี้ในไตรมาสแรกของปี 2566 สถาบันการเงินได้นำสินทรัพย์ด้อยคุณภาพออกประมูลกว่า 60,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกของปี 2565 ถึง 373% โดย BAM สามารถประมูลซื้อมาบริหารจัดการคิดเป็นภาระหนี้เงินต้นมากกว่า 9,000 ล้านบาท และคาดการณ์ว่าสถาบันการงินจะทยอยนำ NPL และ NPA ออกมาประมูลอีกเป็นจำนวนมากในปี 2566