“สุริยะ”นั่งปธ.บอร์ด สสส.นัดแรก เห็นชอบนโยบาย “ลดความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพ”

“สุริยะ”นั่งปธ.บอร์ด สสส.นัดแรก เห็นชอบนโยบาย “ลดความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพ” ผวาบริษัทบุหรี่มุ่งเจาะตลาดเด็ก สั่งเร่งสู้ภัย “บุหรี่ไฟฟ้า” หลังพบเยาวชนสูบพุ่ง 5 เท่าปมเข้าใจผิดไม่อันตราย ดึง สตช.คุมเข้มหลังพบขายเกลื่อนออนไลน์ เปิดผลสำรวจ 63.7 % ไม่เห็นด้วยปลดล็อคบุหรี่ไฟฟ้า ด้าน “รมว.สมศักดิ์” สั่งตั้งคณะทำงานปราบบุหรี่ไฟฟ้า

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดเผยผลการประชุมกรรมการกองทุน สสส. เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2567 ว่า ที่ประชุมเห็นชอบกรอบนโยบายการจัดทำแผนการดำเนินงานประจำปี 2568 โดยให้ยึดทิศทางและเป้าหมายกองทุนระยะ 10 ปี (2565-2574) เน้นสร้างและขยายผลลัพธ์ทางสุขภาพอย่างทั่วถึงและยั่งยืน สนับสนุนการพัฒนาและใช้ประโยชน์ข้อมูลสารสนเทศและเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพ ให้ความสำคัญกับการลดผลกระทบของประชาชนที่มีภาวะเปราะบาง และสานพลังการทำงานกับภาคียุทธศาสตร์ทั้งภาครัฐและเอกชน และภาคีเครือข่ายพร้อมทั้งสร้างภาคีรุ่นใหม่ ในส่วนวาระกลางประจำปี 2568 เน้นบูรณาการทำงาน “ลดความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพ” ซึ่งเป็นการขยายผลการทำงานจากปี 2567 โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาฐานข้อมูลวิชาการและข้อเสนอเชิงนโยบายเสริมศักยภาพเครือข่ายคนรุ่นใหม่เป็นฐานในการขับเคลื่อนงาน พัฒนาระบบและกลไกพื้นฐาน สนับสนุนการใช้ระบบดิจิทัลเพื่อลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำ สร้างความเข้มแข็งพื้นที่ที่มีภาวะเสี่ยง เปราะบาง

นายสุริยะ กล่าวอีกว่าที่ประชุมได้รับทราบผลการดำเนินงานแผนควบคุมยาสูบ ซึ่งปัจจุบันพบการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเยาวชนเพิ่มสูงขึ้น ตั้งแต่ระดับประถมวัย ขณะที่ผลสำรวจการบริโภคผลิตภัณฑ์ยาสูบในเยาวชนไทย (Global Youth Tobacco Survey : GYTS ปี 2565) กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล องค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย และศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (Centers for Disease Control and Prevention : CDC) สำรวจนักเรียนอายุ 13-15 ปี จำนวน 6,752 คน ในทุกภูมิภาคของประเทศไทยรวม 87 โรงเรียน พบว่า การสูบบุหรี่ไฟฟ้าของเด็กและเยาวชนเพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก 3.3 % ในปี 2558 เป็น 17.6 % ในปี 2565 หรือเพิ่มขึ้นถึง 5.3 เท่า สอดคล้องกลยุทธ์ทางการตลาดของอุตสาหกรรมยาสูบมุ่งเน้นไปที่เด็กและเยาวชน เน้นการโฆษณาในแพลตฟอร์มออนไลน์ สาเหตุสำคัญที่ทำให้เด็กไทยติดบุหรี่ไฟฟ้า คือ คนในครอบครัวและเพื่อนชักชวนให้สูบ เพราะมองเป็นเรื่องปกติ เข้าใจผิดว่าบุหรี่ไฟฟ้าไม่อันตรายเท่าบุหรี่มวน ทั้งที่หลักฐานทางวิทยาศาสตร์จากงานวิจัยมากกว่า 1 หมื่นชิ้น ระบุชัดเจนว่าบุหรี่ไฟฟ้าไม่ปลอดภัยอย่างที่ถูกทำให้เชื่อ ไม่มีประสิทธิภาพในการช่วยเลิกบุหรี่ สร้างความเสียหายต่อระบบหายใจและระบบไหลเวียนของเลือด

“จากการสำรวจความคิดเห็นนโยบายที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมและปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาวะของคนไทยพบว่า 63.7 % ไม่เห็นด้วยกับการปลดล็อคบุหรี่ไฟฟ้าให้ขายได้เหมือนบุหรี่ทั่วไป และเห็นว่าจะส่งผลเสียมากกว่า ดังนั้นขอให้ สสส. เร่งสื่อสารรณรงค์พิษภัยบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเข้มข้น เพื่อตอกย้ำให้ประชาชนเห็นถึงผลเสียต่อสุขภาพตนเองและครอบครัว โดยขอให้ทำงานร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขอย่างใกล้ชิด พร้อมขอความร่วมมือไปยังกระทรวงศึกษาธิการให้ช่วยดูแลสถานศึกษาให้ปลอดจากบุหรี่มวนและบุหรี่ไฟฟ้า ในส่วนของการบังคับใช้กฎหมายขอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติกวดขันและจัดการการลักลอบนำเข้า จำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าอย่างจริงจังและเด็ดขาดตามนโยบายนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะการขายและโฆษณาผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ที่เน้นสร้างการรับรู้ของผลิตภัณฑ์เน้นให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ใช้กลยุทธ์ลด แจก แถม ส่งฟรีเพื่อกระตุ้นการซื้อขาย” นายสุริยะกล่าว

ด้านนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะรองประธานกองทุน สสส. คนที่ 1 กล่าวว่า ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าเป็นประเด็นที่รัฐบาลให้ความสำคัญ สธ.พร้อมให้ความร่วมมือในการสร้างความตระหนัก ในส่วนมาตรการปราบปราม จับกุมก็จำเป็นต้องดำเนินการอย่างเข้มแข็ง ขอให้มีการตั้งคณะทำงานที่ประกอบด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สธ. กระทรวงศึกษาธิการ สำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง พร้อมนี้ขอให้ สสส. ขยายผลการดำเนินงานขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ ตามเป้าหมาย “พระแข็งแรง วัดมั่นคง ชุมชนเป็นสุข” ที่มีกรอบแนวทางการดำเนินงาน 3 ด้าน คือ 1. พระสงฆ์กับการดูแลสุขภาพตนเองตามหลักพระธรรมวินัย 2. ชุมชนและสังคมกับการดูแลอุปัฏฐากพระสงฆ์ที่ถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัย และ 3. บทบาทพระสงฆ์ในการเป็นผู้นำด้านสุขภาวะของชุมชนและสังคม โดยเฉพาะประเด็นบุหรี่ที่พระสงฆ์เข้าไปมีบทบาทสำคัญในชุมชน อาทิ โครงการวัดปลอดบุหรี่ 3,874 แห่ง ครอบคลุม 24 จังหวัด ซึ่งปัจจุบันอยากให้มีการขยายผลพื้นที่ให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น โรงเรียนพระปริยัติธรรมปลอดบุหรี่ที่ปัจจุบันมีการสร้างแกนนำพระคิลานุปัฎฐาก(อสว.) เพื่อทำงานร่วมกับเครือข่ายสุขภาพในพื้นที่และช่วยเลิกบุหรี่

“ออมรอน เฮลธแคร์” รณรงค์วัดความดันโลหิต มอบเครื่องวัดความดันโลหิตให้ ส.ความดันโลหิตสูง เติมความรู้ดูแลสุขภาพ

​นายยูซุเกะ กาโตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออมรอน เฮลธแคร์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพจากประเทศญี่ปุ่นและผลิตภัณฑ์ตรวจวัดความดันโลหิตที่บ้าน เผยว่า เดือนพฤษภาคมของทุกปีเป็นเดือนแห่งการวัดความดันโลหิต (May Measurement Month : MMM) ซึ่งเป็นแคมเปญตรวจคัดกรองความดันโลหิตระดับโลกที่ดำเนินการโดย International Society of Hypertension เพื่อเพิ่มความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคความดันโลหิตสูงด้วยการช่วยให้ผู้คนได้รับการวัดความดันโลหิตฟรี ทางออมรอนจึงได้จัดทำโครงการฯ  โดยได้บริจาคเครื่องวัดความดันโลหิตให้กับสมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทยอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 เพื่อรณรงค์และช่วยให้คนไทยเข้าถึงการตรวจวัดความดันที่ถูกต้อง แม่นยำและอยากเน้นให้คนไทยได้ #วัดความดันทุกวันเพื่อรู้ทันโรคร้าย รวมทั้งเก็บข้อมูลผลการสำรวจนำมาวางแผนการดูแลสุขภาพของคนไทย

“ออมรอน เฮลธแคร์ มีเป้าหมายสนับสนุนโครงการฯ  หวังเป็นหนึ่งกระบอกเสียงเพื่อช่วยผลักดันให้คนไทยได้ตระหนักต่อภัยใกล้ตัว คือ โรคความดันโลหิตสูง เพราะคนไทยส่วนใหญ่ยังคิดว่าโรคความดันโลหิตสูงเป็นโรคที่ไม่ร้ายแรง แต่ในยุคปัจจุบันจากวิถีการดำเนินชีวิต การทำงานที่เร่งรีบ ความเครียดที่มากขึ้นส่งผลให้คนไทยเป็นโรคความดันโลหิตสูงมากขึ้น และมีแนวโน้มของกลุ่มเสี่ยงมีอายุที่ลดลงกว่าที่ผ่านมา  ดังนั้นในฐานะผู้พัฒนานวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ตรวจวัดความดันโลหิต ขอร่วมรณรงค์ให้คนไทยตรวจวัดความดันด้วยตัวเอง เพราะจะช่วยให้ติดตามสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด เนื่องจากภาวะความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดหลายชนิด เช่น โรคหัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมอง และโรคไตเสื่อม การตรวจความดันโลหิตด้วยตัวเองเป็นประจำ ช่วยให้คุณทราบถึงระดับความดันโลหิตและแจ้งเตือนสัญญาณอันตรายได้เร็ว  อีกทั้งการตรวจวัดความดันโลหิตด้วยตัวเอง ช่วยให้ติดตามผลการรักษาและประสิทธิภาพของยา ช่วยให้แพทย์ผู้รักษาสามารถปรับยาและวางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสม ดังนั้นคนไทยควรวัดความดันโลหิตสม่ำเสมอ เพื่อรู้ทัน โรคร้าย” 

​รศ. พญ. วีรนุช รอบสันติสุข  หัวหน้าสาขาวิชาความดันโลหิตสูง ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลและกรรมการสมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ทางสมาคมฯ ขอขอบคุณทางออมรอน            เฮลธแคร์ ที่ได้จัดทำโครงการฯ ซึ่งประเทศไทยดำเนินการมาเป็นปีที่ 4 แล้วโดยครั้งแรกจัดทำขึ้นเมื่อปี 2563 ท่ามกลางการระบาดของโรคโควิด19 สมาคมฯ ได้ข้อมูลต่างๆ นำมาวางแผนเชิงระบบเพื่อให้การรักษาให้ครอบคลุมและพัฒนาจากที่ผ่านมา โดยพัฒนาการบริการให้สามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นระบบให้บริการทางไกลสำหรับคนไข้ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลและคนไข้ที่มีความเสี่ยงต่ำโดยมีพยาบาลหรือเภสัชกรให้คำปรึกษาเบื้องต้น เพื่อลดความถี่ในการพบแพทย์ ปัจจุบันการวัดความดันโลหิตด้วยตนเองที่บ้านนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยประชาชนทั่วไปสามารถซื้อเครื่องวัดความดันโลหิตที่ได้มาตรฐานสำหรับใช้วัดความดันโลหิตด้วยตนเองที่บ้านและวัดให้สมาชิกในครอบครัวด้วย  

“หลักการสำคัญ คือ ประชาชนทุกคนควรทราบระดับความดันโลหิตของตนเองและทราบว่าเมื่อใดควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษา หากผลการวัดพบว่าความดันโลหิตมากกว่าหรือเท่ากับ 140/90 มม. ปรอทถือว่ามีความดันโลหิตสูง ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการประเมินและติดตามรับการรักษาอย่างเหมาะสม ในยุคปัจจุบันสถานพยาบาลมีการปรับกระบวนการให้ง่ายและเร็วขึ้น เช่น ในรายที่ความเสี่ยงต่ำและอาการคงที่แล้วแพทย์อาจพิจารณาให้พยาบาลและเภสัชกรโทรสอบถามข้อมูลให้คำปรึกษาแก่ผู้ป่วย หากไม่มีปัญหาใดๆ จะจัดส่งยาให้ทางไปรษณีย์ หรือผู้ป่วยเข้ารับยาภายหลังที่โรงพยาบาลได้ ซึ่งทางโรงพยาบาลศิริราชได้  เริ่มดำเนินการเพื่อลดความแออัดในโรงพยาบาล ลดการเดินทางทำให้คนไข้ได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น ได้รับบริการที่เร็วขึ้น ทำให้การยอมรับการรักษาของคนไข้ดีขึ้น”

​ที่ผ่านมาผลสำรวจผู้ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงในประเทศไทย ช่วงปี 2547 และ 2552 จะอยู่ที่ 21 เปอร์เซ็น ด้วยลักษณะสังคมที่เปลี่ยนไปจากเดิมมาสู่สังคมเมืองที่ส่งผลให้เกิดความเครียดสูงขึ้น  การรับประทานอาหารที่มีรสชาติเค็ม ประชาชนมีภาวะอ้วนมากขึ้น ส่งผลให้แนวโน้มประชาชนเป็นโรคความดันโลหิตสูงเพิ่มมากขึ้น โดยช่วงปี 2557 เพิ่มขึ้นเป็น 25 เปอร์เซ็นและปี 2563 เพิ่มขึ้นเป็น 25.4 เปอร์เซ็น  ถึงแม้ตัวเลขสถิติผู้ป่วยฯ จะเพิ่มขึ้นไม่มากแต่เมื่อเทียบกับจำนวนประชากรไทยทั้งหมด ที่เพิ่มขึ้น 1 เปอร์เซ็นเท่ากับประชากรป่วยเป็นโรคความดันโลหิตเพิ่มขึ้นประมาณ 100,000 คน ซึ่งถือว่ามากเมื่อเปรียบเทียบกับ 20 ปีที่ผ่านมามีคนไทยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงประมาณ 10 ล้าน และปัจจุบันมีผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นเป็น 14 ล้านคน แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นทุกปี

อย่างไรก็ตามข้อน่ากังวลวันนี้ คือ ประชาชนขาดความตระหนักถึงความสำคัญของการวัดความดันโลหิตด้วยตนเองเป็นประจำทำให้ผู้ป่วยบางรายไม่รู้ตัวว่าป่วย ซึ่งจากผลสำรวจผู้ป่วยที่กล่าวมาข้างต้นจำนวน 14 ล้านคนจะมีผู้ที่รู้ตัวว่าป่วยเพียง 50 เปอร์เซ็นจากผลสำรวจเท่านั้น และเนื่องจากโรคความดันโลหิตสูงส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการทำให้ผู้ที่ป่วยอีก 50 เปอร์เซ็นไม่ได้เข้ารับการรักษา และผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษามีเพียงครึ่งหนึ่งที่สามารถควบคุมค่าความดันได้ตามเป้า ซึ่งปัจจุบันค่าความดันโลหิตปกติจะไม่เกิน 140 / 90 มิลลิเมตรปรอท และหากวิเคราะห์ผลกระทบของการมีผู้ป่วยความดันโลหิตสูงในประเทศไทยจำนวนมาก ในแง่สังคมและเศรษฐกิจ  หากละเลยจะทำให้ประเทศไทยมีผู้ป่วยความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจอย่างแน่นอน เนื่องจากการรักษาโรคความดันโลหิตสูงแพทย์จะทำการนัดผู้ป่วยทุก 4-6 เดือนเพื่อรักษาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ป่วยต้องลางานไปพบแพทย์ซึ่งอาจทำให้ธุรกิจหยุดชะงักและประชาชนมีค่าใช้จ่ายในระหว่างการรักษาทั้งค่ายา ค่าเดินทาง และอื่นๆ เกิดภาวะเครียดจากการอาการป่วย เป็นต้น

ถึงแม้ว่าผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงส่วนใหญ่มักไม่มีอาการ ในมุมมองของผู้ป่วยที่ยังไม่แสดงอาการจึงเข้าใจว่าตนสบายดีจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพบแพทย์และทานยาเนื่องจากกังวลว่าการทานยาโดยไม่มีความจำเป็นจะเกิดผลข้างเคียงและมีผลต่อสุขภาพในระยะยาว ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด  และถึงแม้ว่าโรคความดันโลหิตสูงจะเป็นโรคที่รักษาได้แต่ไม่หายขาด มีเพียง 5-10 เปอร์เซ็นเท่านั้นที่รักษาหายขาด โรคความดันโลหิตสูงแม้จะไม่แสดงอาการใดๆ แต่หากปล่อยทิ้งไว้จะส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว ทำให้เกิดหลอดเลือดตีบเป็นสาเหตุให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบหรือโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต มีผลต่อหลอดเลือดหัวใจทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและภาวะหัวใจวายเป็นหลักและส่งผลให้เกิดภาวะไตวาย สุดท้ายเมื่ออวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายเสียหมดผู้ป่วยจะเสียชีวิต หรือในกรณีผู้ป่วยอยู่ในระยะที่เกิดภาวะแทรกซ้อนการรักษาจะยากขึ้น และต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้คุณภาพชีวิตของประชากรลดลง ซึ่งปัญหาเหล่านี้จะทำให้เกิดผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณะสุขและสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2550-2562 ระบุว่าอัตราการเสียชีวิตของคนไทยที่เกิดจากภาวะไตวาย โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง หรือภาวะเลือดออกในสมอง มีจำนวนเพิ่มขึ้น บางสาเหตุเพิ่มขึ้นถึง 100 เปอร์เซ็น 

สำนักงานสถิติแห่งชาติรายงานว่าสาเหตุการเสียชีวิตจากโรคความดันโลหิตสูงและภาวะเลือดออกในสมองจากประมาณ 30 รายเพิ่มขึ้นเป็น 50 ราย ต่อประชาชน 100,000 ราย ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขึ้นที่สูง ทำให้ภาพรวมเกี่ยวกับสถานการณ์โรคความดันโลหิตสูงในประเทศไทยไม่ดีนัก
​ทางสมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทยมีความตระหนักเล็งเห็นถึงผลสำรวจที่มีอัตราผู้ป่วยเพิ่มขึ้นและเป็นไปในทิศทางที่ไม่ดี

สมาคมฯ จึงได้พยายามสร้างองค์ความรู้ให้แก่แพทย์เดิมมุ่งเป้าไปที่อายุรแพทย์ แต่เนื่องด้วยจำนวนอายุรแพทย์ในประเทศไทยมีจำนวนไม่เพียงพอ เมื่อเทียบกับจำนวนผู้ป่วยที่มากขึ้น จึงมีการขยายองค์ความรู้ให้กับแพทย์ด้านอื่นทั้งแพทย์ทั่วไป แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว หรือแพทย์ด้านอื่นที่ดูแลผู้ป่วยนอก โดยให้ความรู้เกี่ยวกับเทคนิคและเครื่องมือเทคโนโลยีในการตรวจวัดความดันโลหิตแบบใหม่ๆ และทันสมัย ให้ความรู้เกี่ยวกับยาชนิดใหม่ที่รวมตัวยาหลายชนิดไว้ใน 1 เม็ดสำหรับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงเนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่จะต้องทานยามากกว่า 1 ชนิดขึ้นไป เพื่อลดจำนวนเม็ดยาที่ต้องรับประทาน ซึ่งในปัจจุบันมียาที่สามารถรวมยา 2-3 ชนิดไว้ในเม็ดเดียววางขายอยู่ในท้องตลาดและราคาไม่สูงมากนักข้อมูลในต่างประเทศชัดเจนว่าในการใช้ยาลักษณะนี้จะทำให้ผู้ป่วยรับประทานยาง่ายขึ้น การยอมรับการรักษาทานยาและการลืมทานยาน้อยลง 

นอกจากนี้ทางสมาคมฯ ยังทำงานเชิงรุกในภาคประชาชนโดยการทำงานร่วมกับภาคเอกชน มีการจัดทำเฟซบุ๊คเพจ “เพราะความดันต้องใส่ใจ #BecauseIsayso” เพื่อให้ความรู้แก่ประชาชนที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงทำให้ประชาชนสามารถศึกษาเพิ่มเติมด้วยตนเอง มีการให้สัมภาษณ์หรือเขียนบทความให้ความรู้แก่ประชาชน รวมถึงการจัดงานวันความดันโลหิตสูงโลก ซึ่งตรงกับวันที่ 17 พฤษภาคมของทุกปี มีการจัดกิจกรรมเสวนาให้ความรู้แก่ประชาชนในโรงพยาบาลต่างๆ และเวทีแลกเปลี่ยนความรู้จากผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคความดันโลหิตสูงในแง่มุมต่างๆ เพื่อประชาสัมพันธ์แก่ประชาชนและแพทย์ได้รับฟัง

อย่างไรก็ตามอยากฝากถึงโครงการตรวจคัดกรองความดันโลหิตสูง (May Measurement Month) ซึ่งสมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทยร่วมมือกับสมาพันธ์ความดันโลหิตโลกทำงานรณรงค์ร่วมกันทุกปีในเดือนพฤษภาคม ปีนี้เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงเดือนกรกฎาคม ทางสมาคมฯ ขอความร่วมมือสำหรับผู้ที่มีเครื่องวัดความดันโลหิตอยู่ที่บ้าน หากมีความยินดีและสนใจให้ความร่วมมือกับทางสมาคมฯ เพื่อเก็บข้อมูลความดันโลหิตนำไปใช้ในการวิจัย สามารถ scan QR code เพื่อร่วมตอบแบบสอบถามสั้นๆ และรายงานผลความดันโลหิตของตนเองหรือสมาชิกในครอบครัว จำนวน 3 ครั้ง ซึ่งหากท่านใดวัดความดันโลหิต 3 ครั้งมีค่าเฉลี่ยมากกว่าหรือเท่ากับ 140/90 มิลลิเมตรปรอท ถือว่าท่านอยู่ในเกณฑ์ความดันโลหิตสูง ขอแนะนำให้ท่านเข้ารับการรักษา ณ สถานพยาบาลที่ท่านสะดวก

นอกจากนี้ยังขอส่งมอบความรู้และคำแนะนำสำหรับผู้ที่มีแนวโน้มจะเป็นโรคความดันโลหิตสูงก็จะแนะนำเรื่องของการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและแนะนำเข้าสู่กระบวนการรักษาติดตามที่เหมาะสมต่อไป
แนวทางการปฏิบัติสำหรับผู้ที่มีแนวโน้มจะเป็นโรคความดันโลหิตสูง มีดังนี้ 1.การหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็มหรือลดการกินเค็ม 2.ไม่ทานเยอะจนเกินไปจนเกิดโรคอ้วน รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ 3.ไม่สูบบุหรี่ 4.ไม่ดื่มสุรา หรือหากดื่มควรจำกัดปริมาณ 5.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และ6.จัดการความเครียด

PM2.5เช้าวันนี้พบ10จังหวัด"โซนเหนือ-อีสาน"ค่าฝุ่นมีผลกระทบต่อสุขภาพ"กทม."น่าห่วงพื้นที่เขต"หนองแขม" 

PM2.5 เช้าวันนี้พบ 10 จังหวัด โซนเหนือ-อีสาน ค่าฝุ่นมีผลกระทบต่อสุขภาพ 
ส่วน กทม. พื้นที่เขต หนองแขม ค่าฝุ่นเริ่มมีผลต่อสุขภาพ 


.
 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ร่วมกับสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ, กรมควบคุมมลพิษ, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เกาะติดสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 แบบรายชั่วโมง ด้วยข้อมูลจากดาวเทียมผ่านแอปพลิเคชั่น “เช็คฝุ่น” เมื่อเวลา 08.00 น. ของวันที่ 19 เมษายน 2567 พบ 10 จังหวัด มีค่าฝุ่นเกินเกณฑ์มาตรฐานในระดับสีแดง ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพและระบบทางเดินหายใจ ได้แก่ #ลำพูน 109.6 ไมโครกรัม #แม่ฮ่องสอน 108 ไมโครกรัม #ลำปาง 107.9 ไมโครกรัม #เชียงใหม่ 102.9 ไมโครกรัม #น่าน 101.1 ไมโครกรัม #แพร่ 95 ไมโครกรัม #พะเยา 94.9 ไมโครกรัม #เชียงราย 84.3 ไมโคกรัม #อุตรดิตถ์ 79.3 ไมโครกรัม #นครพนม 75.7 ไมโครกรัม ในขณะที่อีก 28 จังหวัดโซนภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังจมฝุ่น และมีค่าคุณภาพอากาศเกินมาตรฐานในระดับสีส้ม 
.
สำหรับพื้นที่กรุงเทพมหานครส่วนใหญ่พบคุณภาพอากาศในระดับปานกลาง แต่มี 1 เขตพื้นที่มีค่าฝุ่นเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ คือ #หนองแขม 42.6 ไมโครกรัม
.
แอปพลิเคชั่น “เช็คฝุ่น” ยังคาดการณ์ปริมาณฝุ่น PM 2.5 ในอีก 3 ชั่วโมงข้างหน้า พบว่าหลายพื้นที่จะมีค่าคุณภาพอากาศที่ยังคงเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ โดยเฉพาะโซนภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทั้งนี้ ข้อมูลบนแอปพลิเคชัน “เช็คฝุ่น” มีการใช้เทคโนโลยีดาวเทียมร่วมกับ AI (Artificial intelligence) ในการวิเคราะห์ค่าฝุ่น PM 2.5 แบบรายชั่วโมงในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ร่วมกับการใช้ข้อมูลการตรวจวัด PM 2.5 จากกรมควบคุมมลพิษ, ข้อมูลสภาพอากาศ จากกรมอุตุนิยมวิทยา รวมถึงข้อมูลของแหล่งกำเนิดฝุ่น เช่น จุดความร้อน และข้อมูลที่เกี่ยวข้องอีกจำนวนมาก มานำเสนอให้ในรูปแบบข้อมูลตัวเลขและค่าสีในระดับต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าใจสถานการณ์ได้ง่ายยิ่งขึ้น
.
ประชาชนควรสวมหน้ากากตลอดเวลาเมื่ออยู่ในที่โล่งแจ้ง เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจตามมาโดยเฉพาะโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ทั้งนี้ ท่านสามารถติดตามข้อมูล PM2.5 แบบราย ชั่วโมงเพิ่มเติมผ่านแอปพลิเคชัน "เช็คฝุ่น"
.
ดาวน์โหลดใช้งานแอปพลิเคชัน เพียงท่านพิมพ์คำว่า เช็คฝุ่น ทั้งในระบบ IOS และ Android ก็สามารถใช้งานได้เลยทันทีครับ
.
เช็คฝุ่น PM 2.5 ด้วยข้อมูลจากอวกาศ
https://www.gistda.or.th/news_view.php?n_id=6803&lang=TH
ค่าฝุ่น PM 2.5 จากการวัดด้วยแอปพลิเคชั่นต่างๆ และแอปพลิเคชัน “เช็คฝุ่น”
https://www.gistda.or.th/news_view.php?n_id=6728&lang=TH


#GISTDA #อว #คุณภาพชีวิต #วิเคราะห์ข้อมูล #มลพิษทางอากาศ #คุณภาพอากาศ #ค่าฝุ่นละออง #ฝุ่นพิษวิกฤติชาติ #รู้สู้ภัยพิบัติ #PM2POINT5 #ข้อมูลรายชั่วโมง #วช #มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ #มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ #สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ

 

เช็กเลย! กทม.ฝุ่นพิษกระทบสุขภาพ 12 พื้นที่ คาด 4-12 ม.ค.ฝุ่นสะสมระบายช้า

ศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศกรุงเทพมหานครรายงานสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) ของสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศของกรุงเทพมหานคร ประจำวันพฤหัสบดีที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2567 เวลา 07.00 น. ค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง ของฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ตรวจวัดได้ 19.5-50.8 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร(มคก./ลบ.ม.) พบว่า เกินมาตรฐานอยู่ในระดับสีส้ม เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ (มาตรฐานไม่เกิน 37.5 มคก./ลบ.ม.) จำนวน 12 พื้นที่ คือ

 

1.เขตทวีวัฒนา ทางเข้าสนามหลวง 2 : มีค่าเท่ากับ 50.8 มคก./ลบ.ม.

2.เขตหนองแขม สามแยกข้างป้อมตำรวจ ถนนมาเจริญ เพชรเกษม 81 : มีค่าเท่ากับ 49.6 มคก./ลบ.ม.

3.สวนทวีวนารมย์ เขตทวีวัฒนา เขตทวีวัฒนา : มีค่าเท่ากับ 42.7 มคก./ลบ.ม.

4.เขตบางพลัด ภายในสำนักงานเขตบางพลัด : มีค่าเท่ากับ 42.2 มคก./ลบ.ม.

5.เขตบางกอกน้อย บริเวณหน้าสถานีตำรวจรถไฟบางกอกน้อย : มีค่าเท่ากับ 40.7 มคก./ลบ.ม.

6.เขตบางบอน ใกล้ตลาดบางบอน : มีค่าเท่ากับ 39.9 มคก./ลบ.ม.

7.เขตลาดกระบัง ด้านหน้าโรงพยาบาลลาดกระบังข้างป้อมตำรวจ : มีค่าเท่ากับ 39.8 มคก./ลบ.ม.

8.เขตธนบุรี ริมป้ายรถเมล์บริเวณแยกมไหศวรรย์ : มีค่าเท่ากับ 39.6 มคก./ลบ.ม.

9.เขตภาษีเจริญ หน้ามหาวิทยาลัยสยาม(ประมาณซอยเพชรเกษม 36) ทางเข้ามหาวิทยาลัย : มีค่าเท่ากับ 38.6 มคก./ลบ.ม.

10.เขตประเวศ ด้านหน้าห้างสรรพสินค้าซีคอน สแควร์ : มีค่าเท่ากับ 37.8 มคก./ลบ.ม.

11.สวนรมณีย์ทุ่งสีกัน เขตดอนเมือง เขตดอนเมือง : มีค่าเท่ากับ 37.8 มคก./ลบ.ม.

12.เขตบางขุนเทียน ภายในสำนักงานเขตบางขุนเทียน : มีค่าเท่ากับ 37.7 มคก./ลบ.ม.

 

ข้อแนะนำสุขภาพ คุณภาพอากาศระดับสีส้ม เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ ประชาชนทั่วไป ใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเอง เช่นหน้ากากป้องกัน PM2.5 ทุกครั้งที่ออกนอกอาคารจำกัดระยะเวลาในการทำกิจกรรมหรือการออกกำลังกายกลางแจ้งที่ใช้แรงมาก ควรสังเกตอาการผิดปกติ เช่น ไอ หายใจลำบาก ระคายเคืองตา ประชาชนกลุ่มเสี่ยง ใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเอง เช่น หน้ากากป้องกัน PM2.5 ทุกครั้งที่ออกนอกอาคาร เลี่ยงการทำกิจกรรมหรือการออกกำลังกายกลางแจ้งที่ใช้แรงมาก ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ หากมีอาการผิดปกติให้รีบไปพบแพทย์

 

ดัชนีคุณภาพอากาศของสถานีตรวจวัดของกรุงเทพมหานคร ส่วนใหญ่อยู่ในระดับคุณภาพอากาศ ปานกลาง

 

กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์สภาพอากาศในพื้นที่กรุงเทพมหานคร มีหมอกบางในตอนเช้า และอุณหภูมิจะลดลงเล็กน้อย

 

ปัจจัยที่เกี่ยวข้อง(คาดการณ์แนวโน้มสภาพอากาศที่ส่งผลกระทบต่อฝุ่นPM2.5 โดยสภาพทางอุตุนิยมวิทยา) ในช่วงวันที่ 4-12 ม.ค. 67 การระบายอากาศไม่ดีถึงอ่อน ประกอบกับเกิดภาวะอากาศปิดใกล้ผิวพื้น ส่งผลให้เกิดการสะสมของฝุ่นละอองเนื่องจากการระบายอากาศเป็นไปอย่างจำกัด

และคาดการณ์วันนี้มีหมอกบางในตอนเช้า และอุณหภูมิจะลดลงเล็กน้อย

 

จากการตรวจสอบข้อมูลจุดความร้อน (hotspot) ผ่านดาวเทียม จากหน่วยงาน NASA พบจุดความร้อนที่ดาวเทียมตรวจพบค่าความร้อนสูงผิดปกติจากค่าความร้อนบนผิวโลกบริเวณพื้นที่กรุงเทพมหานคร 

วันที่ 3 มกราคม 2567 จำนวน 5 จุด ดังนี้

 

จุดที่ 1-2 เวลา 13.22 น. แขวงสามวาตะวันออก เขตคลองสามวา

จุดที่ 3 เวลา 13.22 น. แขวงลำต้อยติ่ง เขตหนองจอก

จุดที่ 4-5 เวลา 14.11 น. แขวงลำต้อยติ่ง เขตหนองจอก (เพลิงไหม้สงบเรียบร้อยแล้ว)

 

วันที่ 4 มกราคม 2567 จำนวน 9 จุด ดังนี้

จุดที่ 1-2 เวลา 01.55 น. แขวงลำผักชี เขตหนองจอก

จุดที่ 3-4 เวลา 02.46 น. แขวงลำผักชี เขตหนองจอก

จุดที่ 5-6 เวลา 01.55 น. แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน

จุดที่ 7 เวลา 01.06 น. แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน

จุดที่ 8-9 เวลา 02.46 น. แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน (อยู่ระหว่างประสานงานตรวจสอบจุดความร้อน)

 

สำนักสิ่งแวดล้อมได้ประสานแจ้งทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เพิ่มความเข้มงวดการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง เพื่อเป็นการบรรเทาความรุนแรงของสถานการณ์ฝุ่นละออง PM2.5 และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับสุขภาพอนามัยของประชาชน และขอเชิญชวนส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนและทุกภาคส่วน โดยช่วยกันปรับเปลี่ยน พฤติกรรมและลดกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดฝุ่นละออง เพื่อลดผลกระทบต่อสุขภาพ “5 วิธีลดฝุ่น คุณก็ทําได้” 1. หมั่นทําความสะอาดบ้านด้วยวิธีเช็ดฝุ่น 2. งดเผาขยะ งดจุดธูป 3. ปลูกต้นไม้ช่วยดูดซับมลพิษดักจับฝุ่นละออง4. เดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ และ 5. ดับเครื่องยนต์ขณะจอดรถ ตรวจสภาพเครื่องยนต์ไม่ให้มีค่าควันดํา เกินมาตรฐาน

 

แจ้งเตือนรวมถึงประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนตรวจสอบข้อมูลคุณภาพอากาศก่อนออกจากบ้าน ผ่านทาง

     - แอปพลิเคชัน AirBKK

     - www.airbkk.com

     - FB: สำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร

     - FB: กองจัดการคุณภาพอากาศและเสียง สำนักสิ่งแวดล้อม

     - FB: กรุงเทพมหานคร

     - แอปพลิเคชัน AirBKK

     - LINE ALERT

     - LINE OA @airbangkok

 

ทั้งนี้ กรณีประชาชนพบเห็นแหล่งกำเนิดมลพิษสามารถแจ้งเบาะแสผ่านทาง Traffy Fondue

 

รายงานข้อมูลโดย ทีมโฆษกศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศกรุงเทพมหานคร

 

แหล่งข้อมูล ศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศกรุงเทพมหานคร กรมอุตุนิยมวิทยา และสํานักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ

​​​​​​​

 

 

#กทม #ฝุ่นพิษ #สุขภาพ #มลพิษ

 

 

ซีพีแรม ส่งมอบอาหารคุณภาพ เพื่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีสำหรับทุกคน ตลอดกว่า 35 ปี

บริษัท ซีพีแรม จำกัด ผู้ผลิต และจัดจำหน่ายอาหารพร้อมรับประทาน ในเครือเจริญโภคภัณฑ์ ผู้ซึ่งอยู่เบื้องหลังเมนูข้าวกล่อง, ติ่มซำ, เบเกอรี่ และอาหารสุขภาพ ที่คุณคุ้นเคยในร้าน 7-Eleven และร้านค้าชั้นนำทั่วประเทศ ให้ความสำคัญสูงสุดในการควบคุมคุณภาพ ประกันคุณภาพ และความปลอดภัยทางอาหารตามแนวทาง FOOD 3S ของซีพีแรม ที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ จนกระทั่งส่งสินค้าที่มีคุณภาพ สด สะอาด และปลอดภัยถึงมือผู้บริโภคของเรา เหมือนเพิ่งทำออกจากเตาใหม่ๆ

ตลอดเวลา 35 ปี ซีพีแรมได้ผนึกกำลังความร่วมมือกับทุกภาคส่วน สร้างคุณค่าให้กับสังคมส่วนรวมอย่างทั่วถึง ควบคู่กับการดำเนินธุรกิจ

REBINA ดึง "มุก วรนิษฐ์-รัก สุลักษมิ์" เป็นพรีเซ็นเตอร์ เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ใส่ใจสุขภาพ 

บริษัท เรบิน่า กรุ๊ป จำกัด ผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในหมวดสุขภาพและความงาม ภายใต้ชื่อ REBINA เปิดเผยถึงแบรนด์ REBINA ที่เริ่มต้นจากความตั้งใจที่จะเป็นทางเลือกใหม่เพื่อการดูแลตนเอง นำเสนอผลิตภัณฑ์ เสริมอาหารคุณภาพที่ปลอดภัยต่อร่างกาย โดยเราได้มีการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างจริงจัง จนได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มากด้วยคุณค่า ดีต่อผิวพรรณ ช่วยสร้างประโยชน์ให้กับร่างกายเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถจะปลดล็อกเรื่องสุขภาพ รูปร่าง และความงามได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกันนั้นยังเป็นทางเลือกของผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เรื่องสุขภาพและความงามของคนยุคใหม่หลายล้านคนทั่วประเทศได้อย่างครบครัน 
             

และเพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์ของผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในหมวดสุขภาพและความงาม ภายใต้แบรนด์ REBINA จึงคว้า "คุณมุก วรนิษฐ์ ถาวรวงศ์" มาสะท้อนภาพลักษณ์แบรนด์ เนื่องจากเป็นสาวที่พกพาความสดใสและสุขภาพดี มีใจรักในการดูแลผิวพรรณ และเพื่อเป็นตัวแทนคนรุ่นใหม่ที่ไม่อ่อนข้อให้ตัวเองในการใส่ใจและดูแลสุขภาพอย่างจริงจัง ขึ้นเป็นพรีเซนเตอร์ผลิตภัณฑ์ C Peach Triple Collagen Jelly Dietary Supplement Product (Rebina Brand) และ Melon Triple Collagen Jelly Dietary Supplement Product (Rebina Brand) พร้อมด้วย คุณรัก สุลักษมิ์ ศิริภัทรพงศ์ สาวสวยจากเวที มิสแกรนด์สุราษฎร์ธานี 2022 สะท้อนตัวแทนของคนรุ่นใหม่ ที่เก่งรอบด้าน มีความฉลาดเลือก และใส่ใจตัวเองเป็นพิเศษ แม้ต้องเจอกับสภาวะกดดัน ความเครียด และการพักผ่อนน้อย แต่ก็ยังใส่ใจดูแลสุขภาพตัวเองเป็นอย่างดี ขึ้นเป็นพรีเซนเตอร์ผลิตภัณฑ์ C Peach Triple Collagen Jelly Dietary Supplement Product (Rebina Brand), Melon Triple Collagen Jelly Dietary Supplement Product (Rebina Brand), Lemon L-Carnitine Plus Jelly Dietary Supplement Product (Rebina Brand) และ Pineapple Probiotics X-fiber Jelly Dietary Supplement Product (Rebina Brand)  
ซึ่งตรงกับความมุ่งมั่นตั้งใจของแบรนด์ที่อยากเป็นส่วนหนึ่งในการอยู่เคียงข้างผู้คนให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น โดยรายละเอียดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทั้ง 4 ชนิด ของทางแบรนด์คือ  
  
C Peach Triple Collagen Jelly Dietary Supplement Product (Rebina Brand) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคอลลาเจนรูปแบบซอง ที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ อร่อยรสชาติดี รับประทานง่าย มีส่วนประกอบหลักเป็นคอลลาเจนถึง 3 สายพันธุ์ และยังอุดมไปด้วยสารสกัดจากธรรมชาติอันทรงคุณค่านานาชนิด ทั้งลูกพีชและผลไม้ตระกูลเบอร์รีซึ่งเป็นประโยชน์ต่อร่างกายและดีต่อสุขภาพผิวในหลาย ๆ ด้าน ได้ประโยชน์ต่อร่างกาย พกพาไปทานได้ทุกที่ และอุดมไปด้วยคุณค่าที่อัดแน่นในทุกซองมีส่วนช่วยในการบำรุงผิวให้ขาวกระจ่างใส เรียบเนียน และมีความยืดหยุ่น ลดเลือนจุดด่างดำ ฝ้า กระ รอยแดง และปัญหาเรื่องผิวคล้ำเสีย ชะลอความเสื่อมของเซลล์ ชะลอการเกิดริ้วรอยและปัญหาผิวแห้งกร้าน และช่วยให้ผิวดูอ่อนกว่าวัย  
  

Melon Triple Collagen Jelly Dietary Supplement Product (Rebina Brand) ประกอบไปด้วยคอลลาเจน 3 สายพันธุ์ และยังมีสารสกัดจากธรรมชาติแท้ ๆ ที่มีประโยชน์มากมาย ช่วยในเรื่องการควบคุมน้ำหนักและดีต่อสุขภาพผิว นับว่าเป็นคอลลาเจนที่พร้อมเป็นทางเลือกสำหรับคนที่กำลังต้องการควบคุมน้ำหนักและดูแลรูปร่างทุกคน คอลลาเจน เจลลี่ รูปแบบซอง ที่คัดสรรส่วนผสมหลักจากธรรมชาติ จึงปลอดภัยทานง่าย ทานแล้วสดชื่นได้ประโยชน์ต่อร่างกาย อุดมไปด้วยสารอาหารและวิตามินมากมาย แถมยังรสชาติดีมีความอร่อยอีกด้วย 
  
Lemon L-Carnitine Plus Jelly Dietary Supplement Product (Rebina Brand) แอล คาร์เนทีน เจลลี่รูปแบบซอง รสเลม่อน ที่มีส่วนผสมหลักจากธรรมชาติ เหมาะเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก ปลอดภัย ดีต่อระบบการทำงานของร่างกายและส่งผลดีต่อการดูแลผิวพรรณ ทานง่าย แค่ฉีกซองคุณก็จะพบรสชาติใหม่ที่ไม่เพียงอร่อยแต่ยังช่วยให้รู้สึกสดชื่นผ่อนคลาย และได้ประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยให้รู้สึกอิ่มเร็ว อิ่มนาน ช่วยควบคุมความรู้สึกหิว ลดความอยากอาหาร ทำให้ลดการทานจุกจิก ช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญและช่วยสลายไขมัน และช่วยปรับสมดุลระบบการขับถ่าย  
  

Pineapple Probiotics X-fiber Jelly Dietary Supplement Product (Rebina Brand) โปรไบโอติกส์ เจลลี่รูปแบบซอง กลิ่นสับปะรด ที่มีส่วนผสมหลักเป็นจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์และสารสกัดจากธรรมชาติ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับสมดุลร่างกายในเรื่องการขับถ่าย ผู้ที่มีปัญหาเรื่องระบบขับถ่าย ท้องผูก ท้องอืด ลำไส้แปรปรวน ทานง่ายรสชาติดี ปลอดภัย แค่ฉีกซองคุณก็ทานได้เลย แค่นี้ก็จะพบคุณค่าดี ๆ ที่มีความอร่อยและได้ประโยชน์ เกราะป้องกันให้เยื่อบุลำไส้ ลดการติดเชื้อ ป้องกันไม่ให้เชื้อโรคหลุดเข้าสู่ระบบทางเดินอาหาร เป็นการช่วยเสริมภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงให้กับร่างกาย 

"กลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแบรนด์ REBINA ที่มากด้วยคุณค่าดีต่อผิวพรรณ ช่วยสร้างประโยชน์ให้กับร่างกายได้อย่างครบครัน พร้อมมุ่งมั่นสู่การเป็นผู้นำผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพและความงามในประเทศ รวมถึงในภูมิภาคอาเซียน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้คนในสังคมอย่างยั่งยืน ช่วยให้ทุกวันของคุณเป็นการเริ่มต้นใหม่ ที่สดใสเสมอ ผ่านผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่มีคุณภาพหวังว่าจะสามารถครองใจกลุ่มผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ ที่หันมาให้ความสนใจในเรื่องสุขภาพกันมากขึ้น อีกทั้งยังสอดคล้องกับช่องทางการจัดจำหน่ายที่เราจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ ที่สามารถเข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้ไม่ยาก"

สำนักงานสลากฯมอบยางยืดเหยียดเพื่อสุขภาพ "GLO Forwarding of Happiness"  รวมพลังแห่งการให้ ส่งต่อพลังความสุขเพื่อคนไทย 

เมื่อวันที่ 23 พ.ย. 2566 พันโท หนุน ศันสนาคม ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล และนางตุ้มทอง มุสิกรัตน์  รองผู้อำนวยการ มอบยางยืดเหยียดเพื่อสุขภาพให้กับศูนย์การแพทย์ปัญญานันทภิกขุ ชลประทาน โดยมี นายแพทย์พลากร ศรีนิธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ รักษาการแทนผู้อำนวยการศูนย์การแพทย์ปัญญานันทภิกขุ ชลประทาน เป็นผู้รับมอบ

พันโท หนุน ศันสนาคม ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวว่า ยางยืดเหยียดเพื่อสุขภาพทั้งหมดที่นำมามอบให้กับ ศูนย์การแพทย์ปัญญานันทภิกขุ ชลประทาน ในวันนี้ มาจากการร่วมแรงร่วมใจของพี่น้องประชาชนที่เข้าร่วมกิจกรรม GLO Forwarding of Happiness  รวมพลังแห่งการให้ ส่งต่อพลังความสุขเพื่อคนไทย ที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลจัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้  โดยกิจกรรมต่างๆ ที่จัดขึ้นนั้น ได้มุ่งเน้นสร้างการรับรู้ด้านการเป็นผู้ให้เพื่อสังคม  เป็นการให้ในหลากหลายรูปแบบ โดยมีสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมต่อการให้  ไม่ว่าจะเป็นการให้ความสุข การให้ด้วยใจ การให้ในรูปแบบของการแบ่งปัน และการให้โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน

ผอ.สลากฯ กล่าวว่า ขอขอบคุณทุกท่านที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเป็นผู้ให้ ส่งต่อพลังความสุขเพื่อคนไทย ร่วมกับ สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล  และขอยืนยันว่า  การให้คือรางวัลที่ดีที่สุด ที่จะสร้างความสุขอย่างยั่งยืนต่อไป

น่าห่วง! ฝุ่น PM2.5 กทม.ขยับขึ้น เริ่มกระทบสุขภาพ 7 พื้นที่

 

วันที่ 29 ต.ค.เวลา 11.00 น.ศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศกรุงเทพมหานคร ขอสรุปผลการตรวจวัด PM2.5 เวลา 08.00-10.00 น. (3 ชั่วโมงล่าสุด)

 - ตรวจวัดได้ 19.0-45.0 มคก./ลบ.ม.

 - ค่าเฉลี่ยของกรุงเทพมหานคร 29.7 มคก./ลบ.ม.

-ค่า PM2.5 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและยังคงเกินมาตรฐานอยู่ในระดับสีส้มเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ จำนวน 7 พื้นที่ ได้แก่ 1.เขตวังทองหลาง ด้านหน้าปั๊มน้ำมันเอสโซ่ ซ.ลาดพร้าว 95 2.เขตปทุมวัน หน้าห้างสามย่ามมิตรทาวน์ 3.เขตหนองแขม สามแยกข้างป้อมตำรวจ ถนนมาเจริญ เพชรเกษม 81 4.เขตคลองสามวา ภายในสำนักงานเขตคลองสามวา 5.เขตบางนา บริเวณหน้าห้างสรรพสินค้าบิ๊กซีบางนา 6.เขตบางเขน ภายในสำนักงานเขตบางเขน และ 7.เขตบึงกุ่ม ภายในสำนักงานเขตบึงกุ่ม

ข้อแนะนำสุขภาพ

- ระดับสีส้มเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ

สำหรับบุคคลทั่วไป: ควรลดระยะเวลาการทำกิจกรรมกลางแจ้ง หรือใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเองหากมีความจำเป็น                             

ผู้ที่ต้องดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ : ควรลดระยะเวลาการทำกิจกรรมกลางแจ้ง หรือใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเอง หากมีความจำเป็น ถ้ามีอาการทางสุขภาพ เช่น ไอ หายใจลำบาก ตาอักเสบ แน่นหน้าอก ปวดศีรษะ หัวใจเต้นไม่เป็นปกติ คลื่นไส้ อ่อนเพลียควรปรึกษาแพทย์

 

#ฝุ่นพิษ #PM25 #สุขภาพ #กทม

 

อสมท จัดเต็ม "MCOT RUN 2023" วิ่ง 4 ภาค ชูคอนเซปต์ Low carbon run challenge

นายผาติยุทธ ใจสว่าง รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) เผยถึงการจัดงาน MCOT RUN 2023 วิ่ง 4 ภาค ว่า อสมท จัดกิจกรรม MCOT RUN 2023 วิ่ง 4 ภาค ต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 5 โดยเครือข่ายสถานีวิทยุ อสมท ภูมิภาค 41 สถานีทั่วประเทศผนึกกำลังจัดกิจกรรมนี้ขึ้นใน 4 ภูมิภาค ภายใต้แนวคิด Low carbon run challenge ประกอบด้วย  สนามที่ 1 วิ่งในสวนที่ สวนสัตว์เปิดเขาเขียว จ.ชลบุรี ในวันอาทิตย์ที่ 5 พฤศจิกายน 2566 ,สนามที่ 2 วิ่งชมธรรมชาติที่ เขาน้อย จ.น่าน วันอาทิตย์ที่ 19 พฤศจิกายน 2566 ,สนามที่ 3 วิ่งชมทะเล ที่หาดสมิหลา จ.สงขลา วันอาทิตย์ที่ 3 ธันวาคม 2566, และสนามที่ 4  วิ่งชมวิวแม่น้ำโขง ที่ จ.นครพนม วันอาทิตย์ที่ 10 ธันวาคม 2566 เปิดรับสมัคร 3 ระยะคือ 5 กิโลเมตร ค่าสมัคร 549 บาท ,10.5 กิโลเมตร ค่าสมัคร 649 บาท และ 21 กิโลเมตร ค่าสมัคร 1,000 บาท สมัครได้ที่ https://race.thai.run โดยหลังจบกิจกรรมวิ่งในแต่ละสนาม อสมท จะจัดกิจกรรมปลูกต้นไม้ในพื้นที่

ภายในงานเปิดตัวเสื้อวิ่งจากแบรนด์ WARRIX (วอริกซ์)  ที่มีการออกแบบให้มีสีสัน สอดคล้องกับเอกลักษณ์ท้องถิ่นของแต่ละจังหวัด จังหวัดชลบุรี เสื้อสีม่วง ลายคลื่นน้ำทะเล, จังหวัดน่าน เสื้อสีเขียวมิ้นท์ ลวยลายทิวเขา และอักษรล้านนา คำว่า "น่าน" ,จังหวัดสงขลา เสื้อสีน้ำเงินคราม มีสัญลักษณ์รูปปั้นนางเงือก และประตูเมืองสงขลา  ปิดท้ายที่จังหวัดนครพนม  เสื้อสีเหลือง ด้านหน้าเป็นลวยลายเกร็ดพญานาค และด้านหลัง เป็นสัญลักษณ์สะพานมิตรภาพไทย- ลาว แห่งที่ 3 จุดเช็คอินของจังหวัดนครพนม  สำหรับความหมายของเหรียญในการแข่งขันนั้น ใช้อักษรย่อของ อสมท คือ MCOT เป็นตัวเชื่อม ประกอบกับ ใช้อัตลักษณ์ของจังหวัดนั้นๆ คือ ดอกไม้ประจำจังหวัด และสถานที่สำคัญของจังหวัด นำมาสื่อสารให้สอดคล้องกันเมื่อนำเหรียญ ทั้ง 4 สนาม มาต่อกัน จะได้ข้อความ "MCOT"

โดยผู้ที่สนใจสามารถสมัครได้ ทาง Website : race.thai.run หรือ Line ID : @mcotrun  ตั้งแต่บัดนี้      เป็นต้นไปหรือติดตามที่ Facebook : MCOT RUN และ Facebook : MCOT ทั่วไทย

ผลวิจัย "มินเทล" เผยผู้บริโภคไทยกว่า 75% หาคำแนะนำด้านสุขภาพที่น่าเชื่อถือ ท่ามกลางค่าครองชีพที่พุ่งขึ้น

มินเทล บริษัทด้านข้อมูลตลาดระดับโลก ได้เผยผลวิจัยล่าสุดเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ที่ดีเพื่อสุขภาพของคนไทย โดยเน้นถึงวิธีการที่แบรนด์ต่างๆ จะสามารถปรับให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคในเรื่องความเป็นอยู่ที่ดี

ผลวิจัยของ มินเทล เผยให้เห็นว่าแรงบันดาลใจด้านสุขภาพกับพฤติกรรมที่แท้จริงของคนไทย มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะแม้จะเข้าใจถึงความสำคัญของการมีไลฟ์สไตล์ที่ดี แต่มากกว่า 1 ใน 3 (35%) ของคนไทยกลับเผชิญอุปสรรคต่อแผนการออกกำลังกายที่ตั้งไว้

คนไทยในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน (32%) ยังกล่าวว่า พวกเขาไม่มีเวลาพอสำหรับกิจกรรมเพื่อสุขภาพด้วย ยิ่งไปกว่านี้ คนไทยมากกว่า 2 ใน 3 (67%) ยังเห็นด้วยว่าทุกอย่างจะง่ายขึ้นเมื่อได้ทำกิจกรรมเพื่อสุขภาพร่วมกันกับคนอื่นๆ ดังนั้นจึงเป็นโอกาสดีที่แบรนด์ต่างๆ จะเสนอทางเลือกที่เป็นประโยชน์และดีต่อสุขภาพ โดยการผสานวิถีทางสุขภาพเข้ากับชีวิตประจำวันให้อย่างลงตัวมากขึ้น นับว่าเป็นการกระตุ้นการสร้างนิสัยที่ดีด้วย กล่าวโดย ดร. วิลาสิณี ศิริบูรณ์พิพัฒนา (ไข่มุก) นักวิเคราะห์ตลาดอาวุโสด้านไลฟ์สไตล์ บริษัท มินเทล ประเทศไทย

ขณะที่ทุกคนกังวลกับเศรษฐกิจโลก แบรนด์ด้านสุขภาพต่างๆ ยังคงต้องตระหนักถึงตัวเลขค่าใช้จ่ายที่อาจส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคที่อยากจะมีสุขภาพที่ดี โดยคนไทยกว่า 75% กังวลเรื่องค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเห็นได้ชัดจากพฤติกรรมการใช้จ่ายอย่างระมัดระวังมากขึ้น ไม่เว้นแม้แต่การจ่ายเพื่อสุขภาพ และผู้บริโภคส่วนใหญ่ชื่นชอบแบรนด์ที่มีข้อมูลที่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือมาสนับสนุน ซึ่งคนไทยเกิน 3 ใน 4 (78%) เห็นด้วยว่าผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่มีการรองรับด้วยหลักฐาน มีความน่าเชื่อถือมากกว่าความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นจากโรคระบาดเป็นแรงผลักดันให้มีการดูแลตนเอง เพื่อเป็นการป้องกันและรับมือกับโรคร้ายและสร้างสุขภาพดีที่ทุกคนต้องการ

ดร. วิลาสิณี กล่าวว่า ผลวิจัยของเราพบว่า 70% ของผู้บริโภคชาวไทยเผยว่าการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพคือการที่ผู้บริโภคสามารถเพลิดเพลินไปกับอาหารโดยไม่ต้องนับแคลอรี่ ดังนั้นแบรนด์ที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพเป็นอีกทางเลือก เช่น ผลิตภัณฑ์โซเดียมต่ำ ปราศจากน้ำตาล หรือออร์แกนิก จะตอบโจทย์ตลาดเเนื่องจากเป็นการช่วยให้ผู้บริโภคได้มีสุขภาพที่ดีพร้อมกับบริโภคอาหารที่อร่อย

นอกเหนือจากการควบคุมอาหารและการออกกำลังกายแล้ว ผลวิจัยของมินเทลยังเผยให้เห็นถึงมุมมองเกี่ยวกับความเป็นอยู่ที่ดีอีกด้วย ซึ่งผู้บริโภคทราบถึงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างสภาวะทางร่างกายและจิตใจ โดยปัญหาสุขภาพที่เกิดอย่างต่อเนื่องในไทยนั้นมาจากความเครียด และกว่า 76% แจ้งว่าการรับประทานของหวานจะทำให้อารมณ์ดีขึ้น รวมถึงเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกายก็ถูกนำมาใช้เป็นกิจวัตรที่ช่วยให้สามารถดูแลตัวเองและสร้างความผ่อนคลายได้

"คนไทยรู้วิธีรักษาสุขภาพให้แข็งแรง แต่การเริ่มต้นปฏิบัติเป็นไปได้ยาก ดังนั้นแบรนด์จะสามารถสร้างความความพึงพอใจให้เพิ่มขึ้นได้โดยการแนะนำให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจากเรื่องเล็กๆ ที่มีผลต่อชีวิตประจำวัน ตัวอย่างเช่น ผลวิจัยของเราระบุว่า 86% ของคนไทยหาความสุขในทุกด้านของชีวิต ด้วยประการนี้แบรนด์ต่างๆ จึงควรจับจุดและสร้างแรงจูงใจให้ทุกคนมีสุขภาพดีโดยการเสนอรางวัลในรูปแบบของคะแนน บัตรกำนัล หรือส่วนลด ประกอบกับการที่คนไทย 65% ชอบเทคโนโลยีใหม่ๆ และ 77% กระตือรือร้นที่จะหาวิธีทำให้ชีวิตง่ายขึ้น การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีจึงเป็นกลยุทธ์ที่จะช่วยกระตุ้นให้คนไทยปรับเปลี่ยนกิจวัตรประจำวันที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้นได้"

ดร. วิลาสิณี กล่าวต่อว่า คนไทยไม่ได้มองหาสิ่งที่เป็นการเปลี่ยนแปลงแบบรวดเร็ว ดังนั้นการที่ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนคือแนวทางที่มั่นคงและยั่งยืนกว่า ส่วนคนที่อายุน้อย โอกาสที่จะเคร่งครัดกับการดูแลสุขภาพก็น้อยลง ซึ่งการที่ทำให้กระบวนการต่างๆ สนุกขึ้นนั้น ก็สามารถเป็นกุศโลบายที่แบรนด์ต่างๆ สามารถสร้างสถานการณ์แบบ win-win ได้โดยทำให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมและมีความมุ่งมั่นต่อเป้าหมายด้านสุขภาพมากยิ่งขึ้น