"อรรถพล" เตรียมพร้อมคุมไฟป่าปี 67 สร้างความรู้ประชาชนเฝ้าระวังถึงฤดูไฟ

นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นประธานการประชุมเตรียมความพร้อมสำหรับการปฏิบัติงานควบคุมไฟป่า ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาไฟป่า และหมอกควัน ลด PM.2.5 ให้สอดรับกับการแถลงนโยบายของรัฐบาลด้านทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน โดยมีคณะผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 2 อาคารศูนย์ปฏิบัติการฯ (ตึก H.A. Slade) กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และผ่านระบบออนไลน์ (Zoom Meeting) 

นายอรรถพล กล่าวว่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชได้มีการเตรียมความพร้อมสำหรับการปฏิบัติงานควบคุมไฟป่าอย่างเข้มข้น ทั้งการบริหารจัดการเชื้อเพลิง การตั้งจุดเฝ้าระวัง การให้ชุมชนได้มีส่วนร่วมในการบัญชาการเหตุการณ์ การจัดทำแผนเผชิญเหตุในระดับพื้นที่ป่าอนุรักษ์ตามแผนดำเนินการ รวมถึงการควบคุมพื้นที่การจัดระเบียบการใช้ประโยชน์พื้นที่ ถือเป็นแนวทางของกรมในการบริหารจัดการพื้นที่เป้าหมายทั้งอุทยานแห่งชาติ และ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า รวม 1,887 จุด ซึ่งถือเป็นเป้าหมายที่สำคัญที่รัฐบาลได้เร่งแก้ไขปัญหา

โดยกรมได้มีการปรับแผนการดำเนินงาน รวมถึงงบประมาณเพื่อให้สอดคล้องกับการปฏิบัติงาน พร้อมให้ความสำคัญในการบัญชาการเหตุการณ์ในระดับพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ผ่านการสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนในพื้นที่ ในการขอความร่วมมือการขึ้นทะเบียนการเข้าพื้นที่ป่าในการใช้ประโยชน์ก่อนถึงฤดูไฟ เพื่อเป็นมาตรการในการควบคุมไฟไหม้ ควบคู่กับการจัดตั้งห้องควบคุมสถานการณ์ (War room) ที่มีความพร้อมของข้อมูลในทุกมิติการทำงาน โดยจะต้องทำงานร่วมกับผู้นำท้องถิ่นในพื้นที่มาร่วมรับฟังการบริหารจัดการพื้นที่ โดยตั้งเป้าหมายให้พื้นที่เผาไหม้ (Burn Scar) จะต้องลดลงกว่า 50% พร้อมทั้งจัดทำคู่มือการปฏิบัติงานให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องสามารถปฏิบัติงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

"กอช." จับมือ "ส.ท.ท." ส่งเสริมการออมให้ปชช. เงินยามเกษียณหลังอายุ 60 ปี

วันนี้ (21 มิ.ย.2566) อิมแพ็ค เมืองทองธานี มีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การส่งเสริมการออมกับ กอช. ภายใต้การกำกับดูแลสมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย ระหว่าง กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) โดย นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ กับ สมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย (ส.ท.ท.) โดยมี นายสมชาย รังสิวัฒนศักดิ์  นายกสมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย เป็นผู้ลงนามในบันทึกความร่วมมือ เพื่อให้ประชาชนผู้ประกอบอาชีพอิสระในพื้นที่เทศบาลมีเงินบำนาญใช้ถ้วนหน้าหลังอายุ 60 ปี

นายสมชาย รังสิวัฒนศักดิ์  นายกสมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย (ส.ท.ท.) กล่าวว่า  การบริหารจัดการการเงินส่วนบุคคลเป็นเรื่องที่ให้ความสำคัญน้อยมากมักจะถูกมองข้าม โดยเฉพาะการออมเพื่อการเกษียณ ด้วยภารกิจการดำเนินงานของ ส.ท.ท. ที่มีการดำเนินงานกับหลากหลายภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชน จะพบว่า ประชาชนผู้ประกอบอาชีพอิสระ พ่อค้าแม่ค้า ชาวไร่ชาวนา เกษตรกร กลุ่มบุคคลเหล่านี้ ที่ไม่มีสวัสดิการบำนาญยามเกษียณ เนื่องด้วยอาชีพเหล่านี้ที่หาเช้ากินค่ำ ไม่มีนายจ้างเป็นนายตัวเอง  จึงได้เล็งเห็นความสำคัญของ กอช. ที่จะสามารถเป็นหนึ่งในทางเลือกขั้นพื้นฐานของผู้ประกอบอาชีพอิสระที่ผู้เป็นสมาชิกออมส่วนหนึ่ง เริ่มต้นออม 50 บาท สูงสุด 30,000 บาทต่อปี รัฐสมทบเพิ่มให้อีกส่วนหนึ่งสูงสุด 1,800 บาทต่อปี พร้อมรับผลประโยน์ตอบแทนจากการลงทุน และที่สำคัญคือ กอช. มีความยืดหยุ่นในการออมสูง พร้อมเมื่อไร ออมได้เมื่อนั้น ไม่จำเป้นต้องออมเท่ากันทุกปี เมื่อในปีนั้นไม่ออม รัฐจะไม่สมทบเงินเพิ่มให้ แต่ยังจะได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากการลงทุนของการทำงานของเงินอยู่ ซึ่งเป็นข้อดีของประชาชนอาชีพอิสระกลุ่มนี้

"ความร่วมมือบูรณาการกับ กอช. ทาง ส.ท.ท. จะส่งเสริมการออมกับ กอช. ด้วยการสื่อสารผ่านการประชุมคณะกรรมาธิการบริหารภาค ทั้ง 5 ภาค (ภาคกลาง เหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ ตะวันออก และใต้) และเทศบาลทั่วประเทศ ให้ประชาชนที่เป็นแรงงานนอกระบบได้เข้าถึงสิทธิประโยชน์ในการเป็นสมาชิก กอช. เพื่อส่งเสริมให้คุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่เทศบาลได้มีชีวิตในยามเกษียณที่ดีขึ้น"

นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ  เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ กล่าวว่า กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เป็นกองทุนบำนาญพื้นฐานภาคประชาชน เปิดดำเนินการกองทุนครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2558 ซึ่งในปี พ.ศ. 2564 นี้ กอช. ดำเนินงานมาครบรอบ 8 ปี ในการดูแลแรงงานนอกระบบ ตั้งแต่อายุ 15 ปี จนเริ่มวัยทำงานถึงอายุ 60 ปี เพื่อเตรียมความพร้อมทางการเงินในอนาคต โดยให้ประชาชนมีวินัยการออม ซึ่งเป็นหลักพื้นฐานนำไปสู่การลงทุน และการวางแผนทางการเงิน เพื่ออนาคตของตนเองที่ดียิ่งขึ้น สร้างความตระหนักในการวางแผนชีวิต และได้รับสิทธิรับบำนาญการออมกับ กอช. เพื่อได้มีเงินใช้จ่ายในการดำรงชีวิตหลังอายุ 60 ปี เป็นรายเดือน โดยการสมัครออมเงินเริ่มต้นเพียง 50 บาท สูงสุด 30,000 บาทต่อปี ได้เงินสมทบเพิ่มจากรัฐภายในเดือนถัดไป สูงสุด 1,800 บาทต่อปี รวมถึงได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากการลงทุน และเงินออมสะสมนำไปลดหย่อนภาษีเงินได้ประจำปี

"ถ้าเปรียบเทียบการออมเงินกับ กอช. 30,000 บาทต่อปี ประมาณการเงินสมทบ 1,800 บาทต่อปี เทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ประมาณ 6% ต่อปี  ทั้งนี้ ถ้าสมาชิกออมตั้งแต่อายุ 15 – 60 ปี จำนวน 30,000 บาทต่อปี ต่อเนื่องทุก ๆ ปี หลังอายุ 60 ปี จะได้รับเงินบำนาญรายเดือนประมาณ 12,000 บาทต่อเดือน ตลอดชีพจนกว่าจะเสียชีวิต"

นางสาวจารุลักษณ์ กล่าวว่า การบูรณาการความร่วมมือครั้งนี้ กอช. จะส่งเสริมการให้ความรู้การวางแผนทางการเงินให้กับทาง ส.ท.ท. เพื่อให้ประชาชนในพื้นได้มีทักษะความรู้การวางแผนทางการเงิน ได้มีการบริหารจัดการเงินที่ดี สำหรับผู้ที่สนใจสามารถ สมัคร หรือ ส่งเงินออมสะสม ได้ที่ไลน์แอด กอช. “@nsf.th” หรือ แอปพลิเคชัน กอช. แอปพลิเคชัน เป๋าตัง  แอปพลิเคชัน MyMo  แอปพลิเคชัน K PLUS รวมถึงหน่วยรับสมัครสมาชิกใกล้บ้านท่าน อาทิ  ที่ว่าการอำเภอทั่วประเทศ สำนักงานคลังจังหวัด สถาบันการเงินชุมชน  ตัวแทน กอช. ประจำหมู่บ้าน หรือธนาคารของรัฐ อาทิ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ทุกสาขา รวมทั้งไปรษณีย์ไทย สหกรณ์ชุมชนที่เข้าร่วม เซเว่น-อีเลฟเว่น เทสโก้โลตัส ไปรษณีย์ไทย ตู้บุญเติม และเครือข่ายรับสมัครทั่วประเทศ 

ปชช.แห่ทดลองใช้ "โมโนเรลสายสีเหลือง" ช่วงแรกคึกคักเกือบ 4 หมื่นคน/วัน

ดร. พิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง เปิดเผยว่า จากการเปิดให้ประชาชนทดลองใช้บริการรถไฟฟ้าโมโนเรลสายสีเหลือง 13 สถานี ช่วงระหว่างสถานีหัวหมาก ถึงสถานีสำโรง เมื่อวันที่ 3 - 4 มิถุนายน 2566 พบว่าเป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีประชาชนมาทดลองใช้บริการเป็นจำนวนมาก และการทดลองเดินรถยังไม่พบปัญหาและอุปสรรคแต่อย่างใด

สำหรับการเปิดเดินทดลองรถไฟฟ้าโมโนเรลสายสีเหลือง เป็นการเปิดทดลองเดินรถด้วยความถี่ 10 นาที/ขบวน ช่วงระหว่างเวลา 09.00 - 20.00 โดยไม่เก็บค่าโดยสาร ประชาชนสามารถรับบัตรโดยสาร ที่เครื่องจำหน่ายตั๋วโดยสารบริเวณชั้นจำหน่ายตั๋วได้ฟรี ทั้งนี้ ภายหลังจากนี้จะทดลองเดินรถเป็นระยะเวลา 1 สัปดาห์เพื่อสังเกตความพร้อม ก่อนพิจารณาขยายระยะเวลาเดินรถ และเส้นทางเดินรถถึงสถานีลาดพร้าวครบ 23 สถานี ทั้งนี้ รถไฟฟ้าสายสีเหลืองสามารถเชื่อมต่อการเดินทางไปยังรถไฟฟ้าสายต่างๆ ประกอบด้วย เชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายเฉลิมรัชมงคล (สายสีน้ำเงิน) ที่สถานีลาดพร้าว เชื่อมต่อรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ที่สถานีหัวหมาก และเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่สถานีสำโรง

ดร.พิเชฐฯ กล่าวต่อไปว่า จากการเปิดให้ประชาชน 13 สถานี ช่วงระหว่างสถานีหัวหมาก ถึงสถานีสำโรง เมื่อวันที่ 3 - 4 มิถุนายน 2566 มีประชาชนให้ความสนใจมาใช้บริการ ทั้งสิ้น 38,521 และ 36,879 คน-เที่ยว ตามลำดับ ซึ่งส่งผลให้ยอดผู้ใช้บริการระบบขนส่งทางรางรวมมีปริมาณเพิ่มสูง (1,059,648 คน-เที่ยว ในวันที่ 3 มิ.ย. 66 และ 920,758 คน-เที่ยว ในวันที่ 4 มิ.ย. 66) ทั้งที่เป็นช่วงวันหยุดราชการ และคาดว่าในวันทำงานปกติจะมีผู้มาทดลองใช้บริการรถไฟฟ้าโมโนเรลสายสีเหลืองเป็นจำนวนมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะการเชื่อมต่อไปยังรถไฟฟ้าสายสีอื่นๆ หรือจากสายอื่นมาต่อสายสีเหลือง เพราะจะช่วยประหยัดเวลาในการเดินทาง รวมทั้งบรรเทาการจราจรติดขัดได้อย่างมาก

บก.เตือน! อย่าหลงเชื่อมิจฉาชีพ อ้างชื่อกรมฯหลอกลวงปชช.กู้เงินออนไลน์

นางสาววารี แว่นแก้ว รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง (บก.) เปิดเผยว่า บก.ได้รับแจ้งจากประชาชนว่าขณะนี้มีมิจฉาชีพแอบอ้างชื่อกรมบัญชีกลาง ประกอบการให้กู้ยืมเงินแบบออนไลน์ โดยการส่งลิงก์ Line Official ให้สมัครกู้ยืมเงินผ่านทาง Facebook ทำให้ประชาชนหลงเชื่อเข้าไปสมัคร และกรอกข้อมูลส่วนตัว และให้ทำธุรกรรมทางการเงิน โดยในขั้นตอนของการปลดล็อคบัญชีเงินฝากธนาคาร กลุ่มมิจฉาชีพได้แอบอ้างชื่อกรมบัญชีกลางในเอกสารระบบล็อค System Lock เพื่อหลอกลวงให้ประชาชนหลงเชื่อ

บก.ขอชี้แจงว่า กรมบัญชีกลางไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับการกระทำดังกล่าว ดังนั้น จึงขอเตือนให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อ ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ที่ Call Center กรมบัญชีกลาง 0 2270 6400 ในวัน เวลาราชการ

ขนส่งฯเตือนอย่าหลงเชื่ออ้างเป็นจนท.ขนส่งฯ ตรวจสอบความเป็นเจ้าของทะเบียนรถ-ลิงค์มิจฉาชีพ เสี่ยงถูกนำข้อมูลบุคคลไปใช้

นายเสกสม อัครพันธุ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก และโฆษกกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า ขณะนี้มีผู้แอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของกรมการขนส่งทางบกหรือเจ้าหน้าที่ของสำนักงานขนส่งจังหวัด โทรสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ชื่อ นามสกุล ทะเบียนรถ และแจ้งให้โหลดแอปพลิเคชันเพื่อตรวจสอบข้อมูลทะเบียนรถของตัวเอง หรือให้เข้าลิงค์ที่ทางผู้แอบอ้างส่งมาให้ เพื่อเข้าไปยืนยันข้อมูลส่วนบุคคลที่อยู่ในความดูแลของกรมการขนส่งทางบก เช่น เจ้าของรถมีรถกี่คัน เลขทะเบียนอะไรบ้างและอ้างว่าหากไม่เข้าไปยืนยันข้อมูลดังกล่าว จะทำให้ข้อมูลของเจ้าของรถถูกลบและไม่สามารถเรียกคืนได้ 

กรมการขนส่งทางบกขอแจ้งเตือนภัย!!! กับทุกท่านว่า เป็นการกระทำของมิจฉาชีพ อย่าหลงเชื่ออย่าบอกข้อมูลส่วนบุคคล อย่าโหลดแอปพลิเคชัน อย่าคลิกลิงค์ที่ผู้แอบอ้างส่งมาให้เด็ดขาด เพราะเสี่ยงถูกนำข้อมูลส่วนบุคคลไปทำให้เกิดความเสียหายและสูญเสียทรัพย์สิน  

ทั้งนี้ กรมการขนส่งทางบกขอยืนยันว่า กรมฯ ไม่มีนโยบายให้เจ้าหน้าที่โทรตรวจสอบความเป็นเจ้าของทะเบียนรถและให้โหลดแอปพลิเคชันหรือให้เข้าลิงค์เพื่อเข้าไปยืนยันข้อมูลส่วนบุคคลแต่อย่างใด หากท่านได้รับการติดต่อลักษณะดังกล่าวให้สงสัยไว้ได้เลยว่าเป็นมิจฉาชีพอย่างแน่นอน 

สำหรับผู้ที่แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่กรมการขนส่งทางบกเพื่อหลอกลวงประชาชน เข้าข่ายเป็นการฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 วรรคสอง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 7 ปี และปรับตั้งแต่ 10,000 – 140,000 บาท และถือเป็นการกระทำโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560

รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ กรมการขนส่งทางบกเตือนประชาชนให้ระวังเพจมิจฉาชีพแอบอ้างรับทำใบขับขี่ออนไลน์ โดยมีพฤติกรรมของกลุ่มมิจฉาชีพจะนำรูปตราสัญลักษณ์กรมการขนส่งทางบกมาใส่ในรูปโปรไฟล์ หรือนำรูปภาพของผู้ที่ได้รับใบขับขี่มาแอบอ้าง เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ โดยจะโฆษณาหลอกลวงว่าสามารถออกใบขับขี่โดยไม่ต้องเดินทางไปที่สำนักงานขนส่ง และเก็บค่าบริการสูงเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด กรมการขนส่งทางบกขอย้ำว่า สำหรับการขอรับใบขับขี่ทุกชนิดมีมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ  ผู้ที่ต้องการขอรับใบขับขี่สามารถดำเนินการ ตั้งแต่การตรวจสอบเอกสาร การทดสอบสมรรถภาพร่างกาย การอบรม การทดสอบข้อเขียน การทดสอบขับรถ ที่สำนักงานขนส่งหรือโรงเรียนสอนขับรถที่รับรองโดยกรมการขนส่งทางบก และการถ่ายรูปเพื่อออกใบอนุญาตขับรถต้องมาดำเนินการได้ที่สำนักงานขนส่งเท่านั้น สำหรับผู้ที่ต้องการขอรับใบขับขี่ใหม่สามารถจองคิวล่วงหน้าผ่านแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue ซึ่งสามารถเลือกสำนักงานขนส่ง วันและเวลาที่สะดวกได้ด้วยตนเอง 

ทั้งนี้หากประชาชนท่านใดพบผู้แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ของกรมการขนส่งทางบกโทรมาตรวจสอบความเป็นเจ้าของทะเบียนรถหรือขอข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงพบเพจเฟซบุ๊กปลอมในการรับทำใบขับขี่ สามารถแจ้งเบาะแสมายังกรมการขนส่งทางบกได้โดยตรง หรือโทรสายด่วน 1584 ตลอด 24 ชั่วโมง  

กรมขนส่งฯแนะปชช.เลือกใช้บริการมอเตอร์ไซค์วินผ่านแอปฯถูกต้องตามกม. เดินทางปลอดภัย-ค่าโดยสารเป็นธรรม

นายเสกสม อัครพันธุ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก และโฆษกกรมขนส่งฯ เปิดเผยว่า กรมขนส่งฯให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลการให้บริการรถสาธารณะให้มีความปลอดภัยและสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนในปัจจุบันประชาชนนิยมใช้บริการรถจักรยานยนต์สาธารณะ (มอเตอร์ไซค์วิน) เพราะมีความสะดวกรวดเร็ว กรมการขนส่งทางบกจึงแนะนำประชาชนให้เลือกใช้บริการรถจักรยานยนต์สาธารณะ (มอเตอร์ไซค์วิน) ที่ถูกต้องตามกฎหมายและเพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง ดังนี้ การสังเกตตัวรถ ต้องจดทะเบียนเป็นรถสาธารณะ (ป้ายเหลือง) ซึ่งจะมีการจดทะเบียนถูกต้องและมีการจัดทำประกันภัยที่คุ้มครองผู้โดยสาร ผู้ขับรถต้องมีใบอนุญาตขับรถสาธารณะ (ไม่สิ้นอายุ) ผ่านการตรวจสอบประวัติอาชญากรรมจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติก่อนการออกใบอนุญาตขับรถสาธารณะ ทั้งนี้ ให้สังเกตข้อมูลคนขับรถ เสื้อวิน บัตรประจำตัวและข้อมูลทะเบียนรถ จะต้องถูกต้องตรงกันเพื่อให้ได้รับการให้บริการที่ถูกต้องและปลอดภัย

ทั้งนี้กรมขนส่งฯส่งเสริมให้ผู้สนใจประกอบอาชีพขับรถจักรยานยนต์สาธารณะ (มอเตอร์ไซค์วิน) ที่ถูกต้องตามกฎหมายสามารถยื่นขอหนังสือรับรองการใช้รถจักรยานยนต์สาธารณะต่อคณะอนุกรรมการประจำกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-5 หรือ ณ สำนักงานเขต สังกัดกรุงเทพมหานคร  และเมื่อได้รับหนังสือรับรองการใช้รถจักรยานยนต์สาธารณะเรียบร้อยแล้ว จึงจะสามารถดำเนินการขอเปลี่ยนป้ายเป็นรถจักรยานยนต์สาธารณะ(ป้ายเหลือง) ณ สำนักงานขนส่ง   ที่สถานที่ตั้งวินที่ผู้นั้นขับรถอยู่ โดยหลังจากจดทะเบียนเป็นรถจักรยานยนต์สาธารณะแล้ว ต้องไม่ให้บุคคลอื่นเช่า ซื้อ หรือใช้เสื้อวินของตนในการรับจ้าง และจะต้องขับรถรับจ้างติดต่อกันเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือน ในรอบระยะเวลา 1 ปี นอกจากนี้ ต้องไม่นำรถจักรยานยนต์สาธารณะของตนไปรับจ้างในสถานที่ตั้งวินอื่น ที่ตนเองไม่มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อผู้ขับรถ หากฝ่าฝืนคณะอนุกรรมการฯ สามารถพิจารณาถอดชื่อผู้ได้รับหนังสือรับรองการใช้รถจักรยานยนต์สาธารณะ หรือผู้ขับรถจักรยานยนต์สาธารณะ ออกจากบัญชีรายชื่อในสถานที่ตั้งวินที่ผู้นั้นขับรถอยู่

รองอธิบดีกรมขนส่งฯ กล่าวว่า ในส่วนของรถจักรยานยนต์รับจ้างผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการเดินทางของประชาชน กรมขนส่งฯของย้ำให้ประชาชนใช้บริการผ่านแอปพลิเคชันที่กรมขนส่งฯรับรองแล้วเท่านั้น โดยปัจจุบันได้รับรองแล้ว จำนวน 6 ราย ได้แก่ ได้แก่ ฮัลโหลภูเก็ต เซอร์วิส (Hello Phuket Service), บอนกุ (Bonku), เอเชีย แค็บ (Asia Cab), โรบินฮู้ด (Robinhood), แกร็บ (Grab) และ แอร์เอเชีย ซุปเปอร์แอป (Airasia Superapp) สำหรับรถจักรยานยนต์รับจ้างผ่านแอปพลิเคชันต้องเป็นรถจักรยานยนต์สาธารณะ (ป้ายเหลือง) และคนขับจะต้องใส่เสื้อคลุมของแอปพลิเคชัน เมื่อให้บริการด้วย ซึ่งผู้ขับรถจักรยานยนต์รับจ้างผ่านแอปพลิเคชันดังกล่าว ต้องมีใบอนุญาตขับรถสาธารณะผ่านการสอบประวัติอาชญากรรมจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีการทำประกันภัยเพิ่มเติมตามกฎหมายคุ้มครองผู้ประสบภัยฯ เช่นเดียวกันกับรถจักรยานยนต์สาธารณะทั่วไป และเมื่อเกิดอุบัติเหตุยังได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายผู้ประสบภัยฯ อีกด้วย

ทั้งนี้หากผู้ใช้บริการพบรถจักรยานยนต์สาธารณะ (มอเตอร์ไซค์วิน)  หรือรถจักรยานยนต์รับจ้างผ่านแอปพลิเคชันกระทำความผิดกฎหมาย เช่น กิริยาวาจาไม่สุภาพ ไม่ใช้มาตรค่าโดยสาร ไม่เก็บค่าโดยสารตามที่แอปพลิเคชันกำหนด ใช้งานรถที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้อง ฯลฯ  สามารถร้องเรียนผ่านสายด่วน "1584"  ศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารและรับเรื่องร้องเรียนกรมการขนส่งทางบก ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

กรมรางฯ เผยปชช.ใช้ระบบรางเดินทางช่วงสงกรานต์ 5 วัน ประมาณ 4.7 ล้านคน-เที่ยว พร้อมมรับกลับกรุงเทพฯ

ดร.พิเชฐ คุณาธรรมรักษ์  อธิบดีกรมการขนส่งทางราง เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2566 ระหว่าง 11 - 17 เมษายน 2566 ที่ผ่านมา 5 วันคือ วันที่ 11 - 15 เมษายน 2566 มีประชาชนใช้บริการระบบรางรวม 4,738,213 คน-เที่ยว ต่ำกว่าประมาณการ 104,322 คน-เที่ยว หรือต่ำกว่าประมาณการร้อยละ 2.15 (ประมาณการ 5 วัน 4,842,535 คน-เที่ยว แบ่งเป็นรถไฟ 408,163  คน-เที่ยวและรถไฟฟ้า 4,434,372 คน-เที่ยว) ประกอบด้วย รถไฟระหว่างเมืองของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) มีผู้ใช้บริการรวม 345,691 คน-เที่ยว แบ่งเป็นผู้โดยสารเชิงพาณิชย์ 151,734 คน-เที่ยว และผู้โดยสารเชิงสังคม  193,957 คน-เที่ยว โดยมีผู้โดยสารขาออกสะสม 183,172 คน-เที่ยว และขาเข้า 162,519 คน-เที่ยว ซึ่งพบว่า สายใต้มีผู้ใช้บริการมากสุดถึง 112,230 คน-เที่ยว (ขาออก 57,805 คน-เที่ยว และขาเข้า 54,425 คน-เที่ยว) รองลงมาคือสายตะวันออกเฉียงเหนือ 94,501 คน-เที่ยว (ขาออก 51,519 คน-เที่ยว และขาเข้า 42,982 คน-เที่ยว) สายเหนือ 66,819 คน-เที่ยว (ขาออก 36,589 คน-เที่ยว ขาเข้า 30,230 คน-เที่ยว)  สายตะวันออก 43,604 คน-เที่ยว (ขาออก 22,639 คน-เที่ยว ขาเข้า  20,965 คน-เที่ยว) และสายมหาชัย/แม่กลอง 28,537 คน-เที่ยว (ขาออก 14,620 คน-เที่ยว ขาเข้า 13,917 คน-เที่ยว) และระบบรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (รวมรถไฟฟ้าชานเมือง(สายสีแดง)) สะสม 5 วัน มีผู้ใช้บริการแล้ว 4,392,522 คน-เที่ยว ประกอบด้วย Airport Rail Link 241,383 คน-เที่ยว สายสีแดง 74,264 คน-เที่ยว สายฉลองรัชธรรม(สีม่วง) 124,283 คน-เที่ยว สายเฉลิมรัชมงคล (สีน้ำเงิน) 1,178,494 คน-เที่ยว และรถไฟฟ้าบีทีเอส (สีเขียวและสีทอง) 2,774,098 คน-เที่ยว

ทั้งนี้ พบว่า เมื่อวาน (วันที่ 15 เมษายน 2566) ซึ่งเป็นวันที่ 5 ของวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ 2566 มีประชาชนมาใช้บริการระบบราง  รวมจำนวน 848,823  คน-เที่ยว เพิ่มขึ้นจากวันที่ 14 เมษายน 2566 จำนวน 41,450 คน-เที่ยว หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.13 และสูงกว่าประมาณการ 102,339 คน-เที่ยว (ประมาณการวันที่ 15 เมษายน 2566 จำนวน 746,484 คน-เที่ยว) หรือสูงกว่าประมาณการร้อยละ 13.71 แบ่งเป็น รถไฟระหว่างเมืองของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จำนวน 61,849 คน-เที่ยว และรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลและรถไฟชานเมือง(สายสีแดง) จำนวน  786,974 คน-เที่ยว  โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1. รถไฟระหว่างเมืองของ รฟท. ให้บริการรวม 219 ขบวน มีผู้ใช้บริการจำนวน 61,849 คน-เที่ยว ต่ำกว่าประมาณการ 19,173 คน-เที่ยว หรือต่ำกว่าประมาณการร้อยละ 23.66 (ประมาณการ 81,022 คน-เที่ยว) แบ่งเป็นผู้โดยสารเชิงพาณิชย์ 28,400 คน-เที่ยว และเชิงสังคม 33,449 คน-เที่ยว โดยมีผู้โดยสารขาออกจำนวน 27,404 คน-เที่ยว และผู้โดยสารขาเข้า 34,445 คน-เที่ยว โดยพบว่า สายใต้มีผู้ใช้บริการมากสุดถึง 19,730 คน-เที่ยว (ผู้โดยสารขาออก 9,501 คน-เที่ยว ผู้โดยสารขาเข้า 10,229 คน-เที่ยว) รองลงมาคือสายตะวันออกเฉียงเหนือมีผู้ใช้บริการ 17,256 คน-เที่ยว (ผู้โดยสารขาออก 6,489 คน-เที่ยว ผู้โดยสารขาเข้า 10,767 คน-เที่ยว) สายเหนือ 11,843 คน-เที่ยว (ผู้โดยสารขาออก 5,264 คน-เที่ยว ผู้โดยสารขาเข้า 6,579 คน-เที่ยว) สายตะวันออก 7,087 คน-เที่ยว (ผู้โดยสารขาออก 3,117 คน-เที่ยว ผู้โดยสารขาเข้า 3,970 คน-เที่ยว) และสายแม่กลองและมหาชัย  5,933 คน-เที่ยว (ผู้โดยสารขาออก 3,033 คน-เที่ยว ผู้โดยสารขาเข้า 2,900 คน-เที่ยว)

2. ระบบรถไฟฟ้า ให้บริการเดินรถไฟฟ้ารวม 2,104 เที่ยว มีผู้ใช้บริการรวมจำนวน 786,974 คน-เที่ยว สูงกว่าประมาณการ --121,512 คน-เที่ยว หรือสูงกว่าประมาณการร้อยละ 18.26 (ประมาณการ 665,462 คน-เที่ยว) ประกอบด้วย รถไฟฟ้า Airport Rail Link ให้บริการ 174 เที่ยว จำนวน 44,180 คน-เที่ยว  รถไฟฟ้าชานเมือง (สายสีแดง) ให้บริการ 230 เที่ยว จำนวน 12,368 คน-เที่ยว (รวมผู้โดยสารรถไฟทางไกลต่อสายสีแดงฟรี 6 คน) รถไฟฟ้าสายฉลองรัชธรรม (สีม่วง) 216 เที่ยว จำนวน 17,195 คน-เที่ยว รถไฟฟ้าสายเฉลิมรัชมงคล (สีน้ำเงิน) 250 เที่ยว จำนวน 184,666 คน-เที่ยว  และรถไฟฟ้าบีทีเอส (สีเขียวและสีทอง) ให้บริการรวม 1,234 เที่ยว มีผู้ใช้บริการจำนวน 528,565 คน- เที่ยว (สายสีเขียว 518,027 คน-เที่ยว และสายสีทอง 10,538 คน-เที่ยว) 

สำหรับด้านความปลอดภัย ไม่มีเหตุระบบรถไฟฟ้าขัดข้อง แต่มีเหตุอันตรายต่อการเดินรถไฟรวมจำนวน 1 ครั้ง โดยรถไฟขบวน 4385 (บ้านแหลม-แม่กลอง) เฉี่ยวชนรถยนต์กระบะ ทะเบียน บฉ 316 สมุทรสงคราม  ที่จอดล้ำเข้ามาในเขตทางรถไฟ บริเวณเสาโทรเลขที่ 4/5-6 ซึ่งเป็นทางลักผ่านเข้าบ่อกุ้ง ถนนลูกรัง ระหว่างป้ายหยุดรถบ้านชีผ้าขาว - ป้ายหยุดรถคลองนกเล็ก ไม่มีผู้ใดได้รับอันตรายจากเหตุนี้

ทั้งนี้ คาดว่าวันที่ 16-17 เมษายน2566 จะมีผู้ใช้บริการหนาแน่น   กรมการขนส่งทางรางได้เตรียมพร้อมรองรับประชาชนเที่ยวกลับต่างจังหวัดช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2566 โดยด้านการอำนวยความสะดวก ได้ประสาน รฟท. พ่วงตู้เพิ่มไปกับเส้นทางที่มีผู้โดยสารหนาแน่น  รวมทั้งจัดขบวนรถพิเศษช่วยการโดยสาร จำนวน 5 ขบวน ประกอบด้วย วันที่ 16 เม.ย.66 จำนวน 2 ขบวน (ขบวน 6 เชียงใหม่-กรุงเทพอภิวัฒน์ และขบวน 934 อุบลราชธานี-กรุงเทพอภิวัฒน์) และวันที่ 17 เม.ย.66 จำนวน 3 ขบวน (ขบวน 934 อุบลราชธานี-กรุงเทพอภิวัฒน์ ขบวน 962 ศิลาอาสน์-กรุงเทพอภิวัฒน์ และขบวน 936  อุดรธานี-กรุงเทพอภิวัฒน์) และรฟท. จัดเตรียมรถเข็นให้บริการที่บริเวณชานชาลาขาเข้าและชั้นล่างของสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์  เพื่อรองรับประชาชนที่มีสัมภาระจำนวนมาก/น้ำหนักมากด้วย พร้อมทั้งจัดรถ shuttle busให้บริการฟรีระหว่างสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์-สถานีกรุงเทพ (หัวลำโพง)  และประสานผู้ให้บริการระบบรถไฟฟ้า พิจารณาเพิ่มความถี่ในช่วงเย็นของวันที่ 16-17 เม.ย.66 และช่วงเช้าของวันที่ 17-18 เม.ย.66 เพื่อรองรับการเดินทางของประชาชน

ดร.พิเชฐ กล่าวว่า ส่วนด้านความปลอดภัย ยังคงขอความร่วมมือจังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดเจ้าหน้าที่อาสาสมัครช่วยกันดูแลประจำจุดตัดทางลักผ่าน/จุดตัดที่ไม่มีครื่องกั้น เพื่อป้องกันอุบัติเหตุบริเวณจุดตัดทางรถไฟกับถนนเสมอระดับ  กำชับผู้ปฏิบัติหน้าที่ให้บริการด้านการเดินรถไฟ/รถไฟฟ้าต้องไม่มีแอลกอฮอล์ และปฏิบัติตามกฎระเบียบข้อบังคับในการเดินรถ  รวมถึงจัดตำรวจรถไฟ /เจ้าหน้าที่ฝ่ายรักษาความปลอดภัยและกู้ภัย รฟม./สุนัข K-9 กระจายกำลังบนขบวนรถไฟ/รถไฟฟ้า และที่สถานี นอกจากนี้ ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ทีการประสานงานกับฝ่ายความมั่นคงเพื่อบูรณาการในการทำงานร่วมกัน เพื่อดูแลความปลอดภัยและชีวิตแก่ผู้ใช้บริการระบบราง ทั้งนี้ ที่ผ่านมา 5วันจนถึงวันนี้ยังไม่มีผู้โดยสารที่ใช้บริการระบบรางได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต  

บขส.คาดปชช.กลับเข้ากรุงเทพฯ ระหว่าง 16-18 เม.ย. วันละ 5.8 หมื่นคน จัดรถโดยสารรองรับ 3.8 พันเที่ยว

ดร.สัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) เปิดเผยถึงการเตรียมความพร้อมอำนวยความสะดวกประชาขนเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2566 ว่า บขส. ได้คาดการณ์ว่าประชาชนจะทยอยเดินทางตั้งแต่ช่วงเย็นวันที่ 16-18 เมษายน 2566 เฉลี่ยวันละ 58,000 คน ใช้รถโดยสาร ประมาณวันละ 3,800 เที่ยว พร้อมทั้งได้กำชับไปยังนายสถานีเดินรถทั่วประเทศ และเจ้าหน้าที่ บขส.ที่เกี่ยวข้อง จัดเตรียมความพร้อมของพนักงานประจำรถ สถานีขนส่ง และรถโดยสารให้เพียงพออำนวยความสะดวกประชาชนในการเดินทางกลับเข้ากรุงเทพมหานคร รวมทั้งกำชับให้บขส. และรถร่วมฯ ปฎิบัติตามมาตรการความปลอดภัยของกระทรวงคมนาคม ในการดูแลประชาชนให้ได้รับความสะดวกตลอดเทศกาลฯ

สำหรับบรรยากาศการเดินทางออกจากกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 15 เมษายนที่ผ่านมากลับเข้าสู่ภาวะปกติ มีผู้โดยสารใช้บริการเที่ยวไป จำนวน 29,123 คน ใช้รถโดยสาร (รถ บขส., รถร่วม, รถตู้) จำนวน 3,056 เที่ยว ส่วนเที่ยวกลับ มีผู้โดยสารใช้บริการ 37,542 คน ใช้รถโดยสาร จำนวน 3,242 เที่ยว

ทั้งนี้บขส.ได้จัดโครงการ “ลด 10% ไปก่อน - กลับทีหลัง” สำหรับสมาชิก บขส. Card ที่ซื้อตั๋วโดยสารผ่านช่องทางออนไลน์ Application : E-ticket, Website บขส. : https://tcl99web.transport.co.th เดินทางระหว่างวันที่ 18 - 24 เมษายน 2566 จะได้รับส่วนลดค่าตั๋วโดยสาร 10% (ไม่รวมค่าธรรมเนียม) พร้อมทั้งรับคะแนนสะสมคูณ 2 ทันที นอกจากนี้ประชาชนที่มีสิทธิ์บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สามารถนำสิทธิ์มาซื้อตั๋วโดยสารของ บขส.ได้ในวงเงิน 750 บาทต่อเดือน ที่หน้าช่องจำหน่ายตั๋วของ บขส.ทั่วประเทศ

อย่างไรก็ตามใเพื่อป้องกันการหลอกหลวงจากผู้ไม่หวังดี ขอความร่วมมือประชาชนที่เดินทางให้ซื้อตั๋วโดยสารที่ช่องจำหน่ายตั๋ว ณ สถานีขนส่งฯ หรือสถานีเดินรถ ของ บขส. , ร้าน 7-Eleven เคาน์เตอร์เซอร์วิสทุกสาขา หรือตัวแทนจำหน่ายตั๋วของ บขส. สอบถามข้อมูลการเดินทางเพิ่มเติมได้ที่ ช่องจำหน่ายตั๋ว บขส.ทั่วประเทศ หรือ โทร Call Center 1490 เรียก บขส. ตลอด 24 ชั่วโมง

 

 

ก.คมนาคม พร้อมรับกลับเข้ากทม. 16 – 17 เม.ย. นี้ จัดขนส่งสาธารณะกว่า 2 หมื่นเที่ยว ปชช.เกือบล้านคน

กระทรวงคมนาคม แถลงสถานการณ์การดำเนินงานตามแผนอำนวยความสะดวกและปลอดภัยรองรับการเดินทางของประชาชน ช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2566 ระหว่างวันที่ 11 – 17 เมษายน 2566 ว่า บริการขนส่งสาธารณะเพียงพอกับความต้องการเดินทาง ลดความหนาแน่นของการจราจร ประชาชนเดินทางได้สะดวก ซึ่งในระหว่างวันที่ 11 – 12 เมษายน 2566 ที่ผ่านมา มีการเดินทางของประชาชนมากกว่า 5.1 ล้านคน-เที่ยว และมีปริมาณการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ จำนวนกว่า 8.6 แสนคน-เที่ยว กระทรวงคมนาคมได้เตรียมการระบบขนส่งสาธารณะทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศไว้รองรับอย่างเพียงพอ จำนวนกว่า 9.5 แสนคน-เที่ยว ทำให้ไม่มีผู้โดยสารตกค้าง และมีปริมาณการจราจรเข้า-ออกกรุงเทพฯ กว่า 2.1 ล้านคัน กระทรวงคมนาคมได้เตรียมความพร้อมโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การแก้ไขจุดเสี่ยงจุดอันตรายบนทางหลวง และทางหลวงชนบท การตรวจสอบพนักงานผู้ควบคุมระบบขนส่งสาธารณะในทุกประเภท ส่งผลให้การเดินทางของประชาชน เกิดความปลอดภัย จำนวนผู้บาดเจ็บ และจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันในปี พ.ศ.2562 (ช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19) ร้อยละ 24 และ ร้อยละ 50 ตามลำดับ สำหรับ ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ ไม่มีการเกิดอุบัติเหตุ

สำหรับการเตรียมความพร้อมรองรับการเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 16-17 เมษายน 2566 กระทรวงคมนาคม ได้คาดการณ์ว่าจะมีการเดินทางทั้งทางถนน ทางราง และทางอากาศ รวม 5.3 ล้านคน-เที่ยว ซึ่งจะสูงกว่าการเดินทางขากลับในปี พ.ศ. 2562 (ช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19) กว่าร้อยละ 20 กระทรวงฯ ได้เตรียมความพร้อมระบบขนส่งสาธารณะทั้งรถโดยสาร รถไฟ เรือ เครื่องบิน รวมกว่า 21,000 เที่ยว รองรับการเดินทางของประชาชนจำนวน 9.8 แสนคน ประกอบด้วย รถโดยสาร 17,093 เที่ยว รถไฟ 477 ขบวน เครื่องบินภายในประเทศ 1,226 เที่ยวบิน และเที่ยวบินระหว่างประเทศ 2,189 เที่ยวบิน และยังคงเน้นย้ำมาตรการด้านความปลอดภัยอย่างเข้มข้น เพื่อลดจำนวนอุบัติเหตุ จำนวนผู้บาดเจ็บ ผู้เสียชีวิตให้น้อยลงให้ได้มากที่สุด

กระทรวงคมนาคมขอเชิญชวนประชาชนที่เดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ วางแผนการเดินทางไปก่อน กลับทีหลัง โดย บขส. ได้จัดโครงการ “ลด 10% ไปก่อน – กลับทีหลัง” สำหรับสมาชิก บขส. Card ที่ซื้อตั๋วโดยสารผ่านช่องทางออนไลน์ Application: E-Ticket, Website บขส. : https://tcl99web.transport.co.th เดินทางระหว่างวันที่ 18 – 24 เมษายน 2566 จะได้รับส่วนลดค่าตั๋วโดยสาร 10% (ไม่รวมค่าธรรมเนียม) ทั้งนี้หากประชาชนไม่ได้รับความสะดวกในการเดินทาง พบเห็นเหตุไม่ปลอดภัย หรือแจ้งเหตุสอบถาม ให้ข้อคิดเห็นข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการให้บริการของระบบคมนาคมขนส่ง สามารถโทรสายด่วน ศูนย์ปลอดภัยคมนาคม 1356 ตลอด 24 ชั่วโมง

คมนาคมลงพื้นที่สถานีขนส่งฯ สายใต้ เช็คความพร้อมอำนวยความสะดวกประชาชนเดินทางกลับสงกรานต์

วันนี้ (12 เมษายน 2566) นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านการขนส่ง ลงพื้นที่ตรวจการเตรียมความพร้อมในการอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยรองรับการเดินทางของประชาชน ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2566 โดยมี ดร.สัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บขส. ผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ บขส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การต้อนรับ ณ สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (สายใต้) ถนนบรมราชชนนี

สำหรับการลงพื้นที่ฯ รองปลัดกระทรวงคมนาคม ได้ตรวจเยี่ยมบริเวณจุดจำหน่ายตั๋วโดยสาร ชานชาลา จุดตรวจวัดแอลกอฮอล์และสารเสพติด และได้ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน พร้อมพบปะกับประชาชนที่มาใช้บริการ โดยมีการสอบถามความพึงพอใจในการใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ และได้กำชับให้เจ้าหน้าที่พร้อมปฏิบัติงาน ดูแลแก้ปัญหากรณีมีผู้โดยสารร้องเรียนด้านบริการ ผ่านช่องทางต่างๆ ด้วย