เที่ยวน่าน หน้าฝน ฟินเว่อร์ คนน้อย บรรยากาศดี๊ดี

ใครว่าเที่ยวหน้าฝนไม่สนุก บอกเลยว่าพลาดมาก  โดยเฉพาะที่ "น่าน" เมืองเหนือสุดชิค ที่หน้าฝนเค้าแปลงร่างเป็นดินแดนแห่งความเขียวขจีของธรรมชาติ ที่มีสายน้ำ ไอหมอก ภูเขา และทุ่งนา ให้ความรู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายตา สบายใจ บวกกับอากาศเย็นสบาย สดชื่น เป็นแหล่งโอโซนชั้นดี  ที่สำคัญคือ คนน้อยเหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจแบบสโลว์ไลฟ์สุดๆ   และช่วงโลว์ซีซั่นแบบนี้ ที่พัก ร้านอาหาร มักจะมีโปรโมชั่นเด็ดๆ ราคาเบาๆ สบายกระเป๋าอีกด้วย  ใครอยากหนีความวุ่นวาย ชาร์จพลังให้ชีวิต เตรียมแพ็คกระเป๋า แล้วไปพบความสงบสุข ณ เมืองน่าน กันเลย


นายโยธิน ทับทิมทอง ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานน่าน เปิดเผยว่า โดย ช่วงฤดู Green Season ปีนี้ ทาง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานน่าน ร่วมกับ จังหวัดน่าน  สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวน่าน สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดน่าน ภาคีเครือข่ายด้านการท่องเที่ยว   แนะนำเส้นทางท่องเที่ยวน่านเหนือ น่านกลาง เเละน่านใต้    ที่ครบรสทั้งธรรมชาติ วิถีชุมชน วัฒนธรรม และอาหารพื้นเมือง ให้ได้เลือกทำกิจกรรมได้หลากหลาย ทั้งเส้นทางขับรถเที่ยวบนถนนลอยฟ้า  ดำนากับโรงเรียนชาวนา สัมผัสวิถีชีวิตของคนในพื้นที่  จิบกาเเฟชมวิวทุ่งนา ชมบรรยากาศฝนตกชุ่มฉ่ำ 


เเละอีกหลายกิจกรรมที่จะพลาดไม่ได้เลยคือ งาน Nan Music 2024 ฟังเพลงท่ามกลางบรรยากาศสายฝน สัมผัสคุณค่าศิลปวัฒนธรรมของเสียงดนตรีพื้นเมืองน่านที่มี อัตลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่น ผ่านกาลเวลาเกิดการผสมผสานสู่การนำเสนอดนตรีพื้นเมืองที่มีเสน่ห์ในมุมมองใหม่ และยังมี event  ที่ชวนให้นักท่องเที่ยวได้พักผ่อนที่น่านได้แบบยาวๆ ในช่วงฤดูฝนนี้  ซึ่งในเดือนกรกฏาคมนี้ จะมีงานหอมกลิ่นถิ่นน่าน  งานปัวเปื้อนมาก และเดือนสิงหาคมกิจกรรม Amazing Nan Marathon 2024 ที่เหมาะสำหรับสายวิ่ง สายรักสุขภาพ  


นอกจากนั้น  ผู้ประกอบการในพื้นที่จังหวัดน่าน ได้จัดโปรโมชั่นสำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวในช่วงฤดูฝนนี้ เช่น Promotion สำหรับกลุ่มศึกษาดูงาน เส้นทางเที่ยวน่านหน้าฝน ยลวิถีชุมชน กิจกรรม Weekdays เสน่ห์น่าน Promotion วันธรรมดาเที่ยวน่านหน้าฝน  โปรโมชั่นที่พักเที่ยวน่านหน้าฝน เเละยังมีโปรโมชั่นสำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังจังหวัดน่านด้วยสายการบิน รับส่วนลดจากร้านอาหารที่ร่วมโครงการ 


ทั้งนี้ จังหวัดน่านยังมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สามารถท่องเที่ยวในช่วงฤดูฝนนี้อีกมากมาย เช่น จุดชมวิว 1715 ที่สามารถสัมผัสหมอกฝน มีอากาศเย็นตลอดทั้งปี  จุดชมวิวทุ่งนาบ้านเวร ชุมชนบ้านสะปัน รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ที่นักท่องเที่ยวสามารถมาเที่ยวสัมผัสความเขียวได้ตลอดฤดูฝนนี้  และสิ่งที่สำคัญในการเดินทางท่องเที่ยวตามแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ช่วยกันอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ไม่ทิ้งเศษขยะในเเหล่งท่องเที่ยว ช่วยกันดูแลรักษา แหล่งท่องเที่ยว และสิ่งสำคัญ สำหรับการเดินทาง อย่าลืมสอบถามการเดินทาง และวางแผนล่วงหน้าก่อนการออกเดินทางท่องเที่ยว และเลือกน่านเป็นหมุดหมายในการเดินทาง “เที่ยวน่านหน้าฝน” ในครั้งนี้  สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ ททท. สำนักงานน่าน โทร. 054-711217-8   โทรสาร 054-711219 Facebook Page : TAT NAN ททท.สำนักงานน่าน LINE@ : tat.nan

"สุดาวรรณ" ลุยดัน "น่าน" เป็นเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรม หนุนท่องเที่ยวไทย

รมว.วธ. เดินหน้าผลักดัน “น่าน” เป็นเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรม หนุนท่องเที่ยวไทยตามนโยบายนายกรัฐมนตรี  ตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนพร้อมบูรณาการความร่วมมือทุกฝ่าย เร่งศึกษาแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมในพื้นที่น่าน สร้างความรู้ความเข้าใจแก่ทุกภาคส่วน

วันที่ 17 มิ.ย.67 นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า ตามที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมหารือแนวทางส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่ภาคเหนือ (เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่และน่าน) โดยสนับสนุนจังหวัดน่านให้เป็นเมืองมรดกโลกเพื่อเป็นเมืองคู่แฝดหลวงพระบาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชน(สปป.ลาว)  ซึ่งในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)อย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 2/2567 เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2567 ในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 (เชียงราย น่าน พะเยาและแพร่)  ณ มหาวิทยาลัยพะเยา จังหวัดพะเยา ได้มีมติเห็นชอบโครงการน่านเมืองเก่ามีชีวิต สร้างสรรค์ เมืองแห่งวัฒนธรรมสู่มรดก ซึ่งจังหวัดน่าน โดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดน่านเป็นผู้เสนอโครงการนี้

“โครงการน่านเมืองเก่ามีชีวิต สร้างสรรค์ เมืองแห่งวัฒนธรรมสู่มรดก ใช้งบประมาณดำเนินการ 7 ล้านบาท มีโครงการย่อย 2 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการสร้างการรับรู้และความเข้าใจ ประวัติศาสตร์มรดกทางวัฒนธรรมในพื้นที่จังหวัดน่านสู่มรดกโลก 2 ล้านบาท ประกอบด้วยการประชุมเพื่อสร้างการรับรู้ ความเข้าใจและความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของมรดกทางวัฒนธรรมแก่หน่วยงานรัฐ เอกชน ชุมชนและประชาชนในพื้นที่จังหวัดน่าน และจัดทำหนังสือองค์ความรู้มรดกทางวัฒนธรรมของจังหวัดน่านและสื่อเผยแพร่ในระบบออนไลน์  2.โครงการศึกษาแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมเพื่อขับเคลื่อนจังหวัดน่านสู่มรดกโลก 5 ล้านบาท จะดำเนินการศึกษาแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมในพื้นที่จังหวัดน่าน ประเมินคุณค่าและความสำคัญที่โดดเด่นในระดับสากล และรวบรวมองค์ความรู้แหล่งมรดกทางวัฒนธรรมของจังหวัดเป็นเอกสารวิชาการ และประเมินความเชื่อมโยงของแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมเพื่อคัดเลือกพื้นที่ที่เหมาะสม และสอดคล้องกับเกณฑ์มาตรฐาน ในการนำเสนอแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมของจังหวัดน่านเพื่อขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมต่อองค์การศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก)  ซึ่งทั้ง 2 โครงการจะดำเนินการในปี 2567  เพื่อเตรียมความพร้อมในการเสนอแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมของจังหวัดน่าน เพื่อขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมต่อยูเนสโก” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าว

นางสาวสุดาวรรณ กล่าวอีกว่า โครงการน่านเมืองเก่ามีชีวิต สร้างสรรค์ เมืองแห่งวัฒนธรรมสู่มรดกโลก เป็นการบูรณาการความร่วมมือระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมโดยสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดน่าน และกรมศิลปากรกับหน่วยงานต่าง ๆ อาทิ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จังหวัดน่าน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเครือข่ายภาคเอกชน ขณะนี้วธ.ได้ตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนการเสนอแหล่งโบราณคดีและแหล่งวัฒนธรรมของจังหวัดน่านให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม เพื่อสร้างความเข้าใจและบทบาทหน้าที่ในการขับเคลื่อนโครงการร่วมกับหน่วยงานต่างๆ  และมุ่งสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ เห็นคุณค่าในความสำคัญทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีของแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมในพื้นที่จังหวัดน่านและการมีส่วนร่วมแก่หน่วยงานรัฐ เอกชน ชุมชนและประชาชนจังหวัดน่านในการขับเคลื่อนจังหวัดน่านสู่การเป็นเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรม ทำให้เกิดความภาคภูมิใจ เห็นคุณค่าในมรดกทางวัฒนธรรมและร่วมกันอนุรักษ์ไว้ รวมทั้งเพื่อเตรียมเสนอแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมของจังหวัดน่านเพื่อขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมต่อยูเนสโก

“จังหวัดน่านมีความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ มีประวัติศาสตร์ยาวนาน มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ความรุ่มรวยศิลปวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต และยังคงมีพื้นที่ที่มีร่องรอยหลักฐานทางโบราณคดีในยุคก่อนประวัติศาสตร์  เคยมีการสำรวจ ขุดค้นและค้นพบข้าวของเครื่องใช้ เช่น เครื่องมือหิน เตาเผาโบราณ บ่อเกลือสมัยโบราณ โครงกระดูกของมนุษย์ยุคโบราณและมีวัดสำคัญต่างๆ  นโยบายของนายกรัฐมนตรีมุ่งผลักดันให้จังหวัดน่านเป็นเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรมคู่เมืองหลวงพระบางเพื่อเชื่อมโยงทั้งสองเมือง  ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในประเทศไทย ขับเคลื่อน Soft Power ด้านท่องเที่ยว  ทำให้ประเทศไทยเป็นหมุดหมายของนักท่องเที่ยวทั่วโลก เพื่อสร้างงาน สร้างรายได้แก่ประชาชนและชุมชน กระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าว

น่าน  2 ผู้สมัคร สว. เดินหน้าขอความเป็นธรรม  หลังตกรอบ หมดสิทธิ์ เพราะมีผู้สมัครคนเดียว

วันนี้ 4 พ.ค.2567 นายสิริไพศาล แสงประจักษ์ ผู้สมัคร สว.อำเภอนาน้อย และนางฤติมา กันใจมา ผู้สมัคร สว.อำเภอแม่จริม ได้เดินทางมาที่สำนักงาน กกต.จังหวัดน่าน เพื่อติดตามความคืบหน้ากรณียื่นหนังสือขอความเป็นธรรมกรณีมีผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภา(สว.)กลุ่มอาชีพเดียว และทำให้ไม่สามารถเลือกไขว้ระหว่างกลุ่มได้ตามที่กฎหมายกำหนด ส่งผลให้ผู้สมัครหมดสิทธิที่จะได้ลงคะแนนเลือก โดยจังหวัดน่าน มี 3 อำเภอ ได้แก่ อ.แม่จริม ,อ.นาน้อย จ.น่าน  และ อ.เชียงกลาง จ. น่าน 

    นางกฤติมา กันใจมา ผู้สมัคร สว.อำเภอแม่จริม  กล่าวว่า ก่อนจะถึงวันที่ 9 มิย.นี้ ซึ่งเป็นวันเลือกระดับอำเภอ ก็หวังว่าทาง กตต.กลางจะมีการพิจารณาและให้ความเป็นธรรมกับผู้สมัคร ซึ่งตนมองว่าการเลือก สว.ครั้งนี้ เป็นประวัติศาสตร์ ที่เปิดโอกาสให้ประชาชนในระดับรากหญ้าได้เข้ามามีส่วนร่วม ก็อยากจะใช้สิทธิ์ในการสมัครนี้ 
ด้านนายสิริไพศาล แสงประจักษ์ ผู้สมัคร สว.อำเภอนาน้อย ยืนยันขอใช้สิทธิตนเอง และหากผลพิจารณายังคงเดิมซึ่งหลักเกณฑ์ให้หมดสิทธิ์ ก็จะเดินหน้าขอความเป็นธรรมในเรื่องนี้ต่อไป

ขณะที่นายโชคดี ด้วงแป้น ผู้อำนวยการ กกต.จังหวัดน่าน เปิดเผยว่า ได้ส่งเรื่องไปที่ กกต.ส่วนกลางแล้ว  ซึ่งยังไม่มีคำตอบกลับมา ทั้งนี้ต้องรอหนังสือตอบมาอย่างเป็นทางการเท่านั้น สำหรับเรื่องด้านการเตรียมความพร้อม ขณะนี้ได้ประชุมซักซ้อม เตรียมความพร้อมในระดับอำเภอ 14 อำเภอแล้ว และจะได้ประชุม อบรมผู้สังเกตการณ์ การเลือกสว  เพื่อให้การเลือก สว.ในครั้งนี้ เป็นไปตามขั้นตอน และเป็นโปร่งใสแก่ทุกฝ่าย

 

กรมชลฯ เดินหน้าโครงการประตูระบายน้ำ "น้ำปั้ว น่าน - ฆะมัง พิจิตร" สร้างขั้นบันไดน้ำ แก้ภัยแล้ง-น้ำท่วม

กรมชลฯ เดินหน้าโครงการประตูระบายน้ำ "น้ำปั้ว น่าน - ฆะมัง พิจิตร" สร้างขั้นบันไดน้ำ แก้ภัยแล้ง-น้ำท่วม  ในลำน้ำน่านยั่งยืน

นายสุรชาติ มาลาศรี ผู้อำนวยการสำนักบริหารโครงการ พร้อมด้วย นายพรมงคล ชิดชอบ รองผู้อำนวยการ สำนักงานชลประทานที่ 2 นายนิพนธ์ สนั่นเรืองศักดิ์ ผู้อำนวยการส่วนส่งเสริมการมีส่วนร่วมด้านพัฒนาแหล่งน้ำ กรมชลประทาน พร้อมคณะสื่อมวลชน  ลงพื้นที่จังหวัดน่าน เพื่อติดตามการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำน่าน และประชุมแผนหลักการพัฒนาโครงการที่มีศักยภาพในการพัฒนาอาคารบังคับน้ำแม่น้ำน่าน ในเขตจังหวัดน่าน พิษณุโลก พิจิตร และนครสวรรค์  จำนวน 7 โครงการ  โดยคัดเลือก 2 โครงการที่ดำเนินการก่อสร้างในลำน้ำน่าน ซึ่งมีความสำคัญและจำเป็นเร่งด่วน คือ "ประตูระบายน้ำ น้ำปั้ว-ไหล่น่าน จังหวัดน่าน  และ ประตูระบายน้ำฆะมัง  จังหวัดพิจิตร"  มุ่งหวังให้เป็นเครื่องมือบริหารจัดการน้ำแก้ภัยแล้ง-น้ำท่วม ในลำน้ำน่านอย่างยั่งยืน


นายสุรชาติ มาลาศรี ผู้อำนวยการสำนักบริหารโครงการ กรมชลประทาน กล่าวว่า กรมชลประทาน ได้วางแผนพัฒนาแหล่งน้ำมาโดยลำดับ โดยมีแหล่งเก็บกักน้ำที่สำคัญ อาทิเช่น เขื่อนสิริกิติ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน จังหวัดพิษณุโลก เขื่อนทดน้ำผาจุก จังหวัดอุตรดิตถ์ และเขื่อนทดน้ำนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก เมื่อรวมกับอ่างเก็บน้ำขนาดกลางและขนาดเล็กสามารถเก็บกักน้ำไว้ได้ 10,430.25 ล้าน ลบ.ม. ปัจจุบันมีแผนพัฒนาจัดหา แหล่งเก็บกักน้ำในระยะกลาง (ปี 2565-2575) เพิ่มเติมอีก เช่น อ่างเก็บน้ำน้ำปาด (ภูวังผา) อ่างเก็บน้ำน้ำกอน อ่างเก็บน้ำน้ำกิ และอ่างเก็บน้ำน้ำยาว เป็นต้น ซึ่งหากพัฒนาได้ทั้งหมดก็มีน้ำเก็บกักได้เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 799 ล้าน ลบ.ม. 


กรมชลประทานจึงมีนโยบายที่จะหาแหล่งน้ำเพิ่มเติมอีกโดยการใช้ลำน้ำน่านเป็นแหล่งเก็บกักน้ำ ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการศึกษาแผนหลักและความเหมาะสม รวมถึงการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมประตูระบายน้ำแม่น้ำน่าน สำหรับผลการศึกษาจัดทำแผนหลักการพัฒนาประตูระบายน้ำแม่น้ำน่าน มีทั้งหมด จำนวน 7 โครงการ ในเขตจังหวัดน่าน พิษณุโลก พิจิตร และนครสวรรค์  โดยนำมาจัดลำดับความสำคัญและคัดเลือก 2 โครงการที่ดำเนินการก่อสร้างในลำน้ำน่านและมีความจำเป็นเร่งด่วน ได้แก่ ประตูระบายน้ำ น้ำปั้ว-ไหล่น่าน  มีความจุ 3.55 ล้าน ลบ.ม. ขนาดบานประตูความกว้าง 12.50 เมตร สูง 10 เมตร จำนวน 6 ช่อง ตั้งอยู่ในพื้นที่ตำบลน้ำปั้ว อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน พื้นที่ชลประทาน 16,320 ไร่  และ ประตูระบายน้ำฆะมัง มีความจุ 24.77 ล้าน ลบ.ม. ขนาดบานประตูความกว้าง 12.50 เมตร สูง 10 เมตร จำนวน 7 ช่อง ตั้งอยู่ในพื้นที่ตำบลฆะมัง อำเภอเมืองพิจิตร จังหวัดพิจิตร พื้นที่ชลประทาน 30,849 ไร่ ทั้งนี้ เมื่อกรมชลประทานดำเนินการตามแผนงาน 7 โครงการแล้วเสร็จ จะทำให้ลำน้ำน่านสามารถเก็บกักน้ำได้เพิ่มขึ้นอีก 152.99 ล้าน ลบ.ม. ส่งน้ำให้กับพื้นที่การเกษตรของสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าเดิม 141,720 ไร่ เพิ่มพื้นที่ชลประทานใหม่ 36,404 ไร่ รวมพื้นที่ชลประทาน 178,124 ไร่ เป็นแหล่งน้ำต้นทุนสำหรับอุปโภค-บริโภค การประมง และการปศุสัตว์ สนับสนุนประเพณี วัฒนธรรมท้องถิ่น การท่องเที่ยวและกิจกรรมการใช้น้ำอื่นๆซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ดีขึ้น อย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต


นายพรมงคล ชิดชอบ รองผู้อำนวยการ สำนักงานชลประทานที่ 2   ได้กล่าวว่า การก่อสร้างประตูระบายน้ำ น้ำปั้ว-ไหล่น่าน ตั้งอยู่ที่ตำบลน้ำปั้ว อ.เวียงสา  มีระยะห่างประมาณ 20 กิโลเมตร จากประตูระบายน้ำเขื่อนธงน้อย บ้านคอวัง ต.กองควาย อ.เมืองน่าน ซึ่งกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงานงาน เป็นหน่วยงานรับผิดชอบ ทั้งนี้ประตูระบายน้ำทั้งสองแห่งเป็นเสมือนตุ่มเก็บกักน้ำแบบขั้นบันไดในลำน้ำน่าน เพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้ง และป้องกันแก้ไขปัญหาน้ำท่วมน้ำหลาก   สำหรับประเด็นข้อกังวลด้านผลกระทบทั้งด้านปริมาณน้ำสำหรับเกษตรกรเหนือประตูระบายน้ำและท้ายน้ำ   ผลกระทบด้านการบริหารจัดการน้ำไม่ให้น้ำเอ่อล้นเข้าท่วมบ้านเรือนราษฎรหรือพื้นที่การเกษตรริมฝั่งประตูระบายน้ำในช่วงฤดูน้ำหลาก   กรณีเศษซากสวะที่ไหลมากับน้ำป่าและอาจขวางทางน้ำบริเวณประตูระบายน้ำ รวมไปถึงผลกระทบด้านระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมในลำน้ำน่าน ซึ่งทุกข้อกังวลเหล่านั้นทางกรมชลประทานได้ให้ความสำคัญและมีการออกแบบประตูระบายน้ำเพื่อป้องกันผลกระทบอย่างรอบด้าน ขอให้ประชาชนมั่นใจได้ว่าประตูระบายน้ำ น้ำปั้ว-ไหล่น่าน จะสร้างประโยชน์และเกิดการบริหารจัดการน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

ทางด้าน นายโชติธนินทร์ เดโชวชิรสวัสดิ์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลน้ำปั้ว  พร้อมด้วย กำนันตำบลน้ำปั้ว แกนนำผู้แทนชุมชนและกลุ่มผู้ใช้น้ำ  เปิดเผยว่า  พื้นที่ตำบลน้ำปั้วและตำบลใกล้เคียง ประสบปัญหาภัยแล้ง ส่งผลกระทบต่อการประกอบอาชีพเกษตรกรรม รวมทั้งไม่มีแหล่งน้ำต้นทุนสำหรับผลิตน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค ซึ่งประตูระบายน้ำ น้ำปั้ว - ไหล่น่าน จะช่วยเก็บกักน้ำให้เพียงพอได้ใช้ในช่วงฤดูแล้ง และช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วมน้ำหลาก โดยจะเกิดประโยชน์ กับ 4 ตำบล เหนือประตูระบายน้ำ ได้แก่ ตำบลนาเหลือง     ตำบลน้ำปั้ว  ตำบลตาลชุม  และ ตำบลกองควาย   ซึ่งมี 11 กลุ่มผู้ใช้น้ำของทั้ง 4 ตำบลจะร่วมกันบริหารจัดการน้ำ   และอีก 2 ตำบลท้ายน้ำ คือ ตำบลกลางเวียง และ ตำบลไหล่น่าน ก็จะได้รับประโยชน์จากประตูระบายน้ำแห่งนี้ด้วยเช่นกัน 


สำหรับจังหวัดน่าน มีพื้นที่ทั้งหมด 7,170,045 ไร่ มีพื้นที่เกษตรกรรม 2,598,131 ไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 36.32  เป็นพืชไร่หมุนเวียน  พืชไร่  ไม้ยืนต้น  ไม้ผล  และพื้นที่นา  พืชที่ปลูก ได้แก่ ข้าวโพด  ข้าวไร่  มันสำปะหลัง  ยางพารา ไม้สัก ลำไยและลิ้นจี่ พื้นที่ชลประทาน 63,840 ไร่ พื้นที่รับประโยชน์ 58,620 ไร่ รวม 122,460 ไร่   เป็นโครงการชลประทานขนาดกลาง  อ่างเก็บน้ำ 9 แห่ง  ฝายทดน้ำ 6 แห่ง    โครงการชลประทานขนาดเล็ก อ่างเก็บน้ำ 48 แห่ง และโครงการพระราชดำริ อ่างเก็บน้ำ 26 แห่ง   แต่พื้นที่ลุ่มน้ำน่าน ประสบปัญหาการขาดแคลนแหล่งเก็บกักน้ำที่มีศักยภาพในการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ ทำให้เกิดปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง ขาดแคลนน้ำอุปโภค บริโภคและเพื่อเกษตรกรรม

สสส.สานพลังเทศบาลเมืองน่าน UDC ม.แม้โจ้ หนุน “จ.น่าน” เป็นจังหวัดแรก ส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ

สสส.สานพลังเทศบาลเมืองน่าน UDC ม.แม้โจ้ หนุน “จ.น่าน” เป็นจังหวัดแรก ส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ ภายใต้นโยบาย “เมืองสุขภาพดี” หรือ blue zone ของกระทรวงสาธารณสุข ชู “ชุมชนน้ำล้อม เทศบาลเมืองน่าน” ต้นแบบเมืองที่เป็นมิตรเพื่อผู้สูงอายุและทุกคน จัดทีมช่างชุมชนออกแบบ ปรับปรุงบ้านคนสูงอายุ คนพิการ ที่อยู่เพียงลำพัง

วันที่ 2 มี.ค. 2567 ที่ชุมชนบ้านน้ำล้อม ต.ในเวียง อ.เมือง จ.น่าน  นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) พร้อมด้วยนางภรณี ภู่ประเสริฐ ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุน สสส. และรักษาการผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ และผศ.ดร.วุฒิกานต์ ปุระพรหม หัวหน้าศูนย์ออกแบบสภาพแวดล้อมเพื่อทุกคน (UDC) มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ลงพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้การออกแบบและปรับปรุงบ้านพักของผู้สูงอายุตามแนวคิดการออกแบบเพื่อทุกคน ในพื้นที่ที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุและทุกคน 

นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า จ.น่านเป็นจังหวัดแรกที่ดำเนินส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ ภายใต้นโยบาย “เมืองสุขภาพดี” หรือ blue zone ของกระทรวงสาธารณสุข โดย สสส. ร่วมกับศูนย์ออกแบบสภาพแวดล้อมเพื่อทุกคน (UDC) มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ในการขับเคลื่อนให้ จ.น่าน เป็น 1 ในจังหวัดต้นแบบเมืองที่เป็นมิตรกับทุกคน มุ่งพัฒนาพื้นที่สถานที่ท่องเที่ยว สถานที่สาธารณะต้นแบบ รวมถึงที่พักอาศัยของผู้สูงอายุและคนพิการ ให้มีสภาพแวดล้อมและสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้สูงอายุ คนพิการ และทุกคน ภายใต้แนวคิด “การออกแบบเพื่อทุกคน” หรือ Universal Design (UD)  ซึ่งจะเอื้อให้คนกลุ่มนี้สามารถดำเนินชีวิต และออกจากบ้านมาใช้ชีวิต ทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกับคนในชุมชนได้อย่างอิสระ สะดวก ปลอดภัย ถือเป็นปัจจัยสำคัญนำไปสู่การมีสุขภาวะดีของคนกลุ่มนี้

“การขับเคลื่อนพื้นที่ต้นแบบเมืองที่เป็นมิตรใน จ.น่าน มีชุมชนน้ำล้อม เป็นพื้นที่นำร่อง 1 ใน 31 ชุมชนของเทศบาลเมืองน่าน โดดเด่นในการสร้างต้นแบบที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ และคนพิการ โดยในอนาคตมีแผนการสร้างที่อยู่อาศัยแบบหมุนเวียนสำหรับผู้สูงอายุและพิการยากไร้ด้วย เพราะมีสัดส่วนผู้สูงอายุอยู่คนเดียวจำนวนมาก ซึ่งการขับเคลื่อนเรื่องนี้อย่างเป็นรูปธรรม มีส่วนช่วยให้เกิดการสร้างความเข้าใจและเตรียมความพร้อมเพื่อเป็นผู้สูงอายุที่มีคุณภาพ เป็นส่วนหนึ่งของการรองรับสังคมสูงวัยและการมีคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้สูงอายุที่เหมาะสมกับบริบทของสังคมไทย และเตรียมขยายผลไปยังจังหวัดอื่นๆ ต่อไป” นพ.พงศ์เทพ กล่าว

นพ.พงศ์เทพ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา สสส. สนับสนุนและร่วมขับเคลื่อนให้เกิดการปรับสภาพแวดล้อมและจัดสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้สูงอายุ คนพิการ ตามแนวคิด UD ทั้งในส่วนของที่พักอาศัย สถานที่สาธารณะ และสถานที่ท่องเที่ยว โดยสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์ Universal Design Center ในมหาวิทยาลัย 12 แห่งทั่วประเทศ เพื่อให้ความรู้เรื่องการออกแบบ Universal Design แก่หน่วยงาน ประชาชน ที่สนใจ และให้คำปรึกษาในการปรับสภาพบ้านไปแล้วกว่า 785 หลัง จัดอบรมช่างชุมชนให้มีความรู้ในประเด็น UD สามารถไปดำเนินการปรับสภาพแวดล้อมในส่วนบ้านพักและสถานที่สาธารณะ รวมทั้งสนับสนุนมูลนิธิอารยสถาปัตย์เพื่อคนทั้งมวล เพื่อพัฒนาทูตอารยสถาปัตย์กว่า 300 คน มีทั้งผู้สูงอายุ คนพิการ สามารถเป็นตัวแทนในการให้ข้อมูลและร่วมขับเคลื่อนประเด็นการปรับสภาพแวดล้อมและจัดสิ่งอำนวยความสะดวกตามแนวคิด UD ในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ

ผศ.ดร.วุฒิกานต์ ปุระพรหม  หัวหน้าศูนย์ออกแบบสภาพแวดล้อมเพื่อทุกคน (UDC) มหาวิทยาลัยแม่โจ้ กล่าวว่า จ.น่าน เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ มีสัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มเป็น 32%ของประชากรในพื้นที่ ผู้สูงอายุส่วนใหญ่อาศัยอยู่เพียงลำพัง แต่สภาพแวดล้อมไม่เอื้อต่อการดำเนินชีวิต จึงเริ่มต้นลงพื้นที่และได้เห็นศักยภาพของคนในท้องถิ่น แต่ยังขาดที่ปรึกษา และช่างชุมชนที่มีความรู้ด้าน Universal จึงริเริ่มดำเนินการพัฒนาให้ จ.น่านเป็นต้นแบบเมืองที่เป็นมิตรของภาคเหนือ โดยความร่วมมือของศูนย์ UDC  จากสถาบันการศึกษา 5 แห่ง คือ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย มหาวิทยาลัยนเรศวร   มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยพะเยา โดยร่วมกับโรงพยาบาลน่าน  เทศบาลเมืองน่าน ชมรมผู้สูงอายุ ภาคเอกชน มีกระบวนการรับฟังความเห็นจากคนในพื้นที่ รวบรวมความเห็นส่งต่อให้กองช่างไปดำเนินงานตลอดการทำงาน 2 ปีจนเห็นผลลัพธ์เป็นรูปธรรม

ผศ.ดร.วุฒิกานต์  กล่าวต่อว่า ปัจจุบัน จ.น่าน มีการปรับภูมิทัศน์ ได้แก่ 1.ที่ชุมชนบ้านน้ำล้อม ต.ในเวียง อ.เมือง มีการจัดสภาพแวดล้อมบ้านผู้สูงอายุกลุ่มยากไร้และอยู่เพียงลำพัง โดยปรับปรุงห้องน้ำ บันได พื้นบ้าน จัดระเบียบของใช้ และเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวก 2.ศาสนสถาน มีการปรับปรุงพื้นที่ และอาคารสาธารณะ เช่น แก้ไขพื้นผิวทาง เพิ่มราวจับ 3.ตลาดชุมชนบ้านพระเนตร มีการปรับห้องน้ำสาธารณะ เพิ่มราวจับ 4.เตรียมสร้างศูนย์ดูแลผู้สูงวัย แบบไปเช้า-เย็นกลับ (DAYCARE) ที่โรงพยาบาลน่าน มีเนื้อที่ใช้สอย 700 ตารางเมตร เพื่อลดความแออัดในในโรงพยาบาล โดยออกแบบให้เป็นสถานบริบาลให้ผู้สูงอายุมาตรวจเช็คร่างกาย ทำกายภาพบำบัด รับยา และจัดร่วมกิจกรรมที่เหมาะสมกับช่วงวัย เพื่อให้ผู้สูงอายุมีกิจกรรมทำนอกบ้าน ไม่ต้องอยู่บ้านเพียงลำพัง ช่วยลดความกังวลของบุตรหลาน 

นายณกรณ์ ศิริรัตน์พิริยะ รองนายกเทศบาลเมืองน่าน กล่าวว่า เทศบาลเมืองน่านได้ปรับปรุงสถานที่เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้สูงอายุและผู้พิการ ได้แก่ อาคารจามจุรี อาคารพญานาคของศูนย์ท่องเที่ยวเมืองน่าน และอาคารสำนักงานเทศบาลเมืองน่าน และยังบูรณาการทำงานกับหลายฝ่ายในการสำรวจชุมชนเพื่อปรับปรุงสภาพแวดล้อมตามความต้องการของประชาชน โดยเทศบาลเมืองน่านได้ส่งทีมประเมินบ้านของผู้สูงอายุ คนพิการ เป็นประจำ และมีทีมอนุกรรมการลงพื้นที่สำรวจเยี่ยมบ้านทุกวันพุธ เพื่อนำข้อเสนอต่างๆของประชาชนนำไปวางแผนการพัฒนาให้เหมาะสม นอกจากนี้ยังได้ทำบันทึกข้อตกลง (MOU) ร่วมกับ 4 หน่วยงาน ได้แก่ โรงพยาบาลน่าน จุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย สมาคมสถาปัตย์ภาคเหนือ และวิทยาลัยชุมชนในการดูแลผู้สูงอายุ เพื่อพัฒนาแนวทางการทำงาน UD ในจ.น่าน ให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง

“หมอชลน่าน”ยกระดับน่าน Kick off เมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเพื่อคนทั้งมวล

“หมอชลน่าน”ยกระดับน่าน Kick off เมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเพื่อคนทั้งมวล ด้าน สสส. เดินหน้าผลักดัน “น่านโมเดล” 1 ใน 10 เมืองต้นแบบสุขภาพ ที่มีอารยสถาปัตย์ สภาพแวดล้อมและสิ่งอำนวยความสะดวก รองรับ ผู้สูงวัย คนพิการ ตามแนวคิด Universal Design : UD

วันที่ 1 มี.ค. 2567 ที่ลานข่วงเมืองน่าน วัดภูมินทร์ จ.น่าน นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข เป็นประธานเปิดงาน ทัวร์อารยสถาปัตย์ แหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมจังหวัดน่าน “เปิดเมืองอารยสถาปัตย์ เมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเพื่อคนทั้งมวล จังหวัดน่าน” พร้อมด้วย นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) นายกฤษณะ ละไล ประธานมูลนิธิอารยสถาปัตย์เพื่อคนทั้งมวล จังหวัดน่าน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เทศบาลเมืองน่าน องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) และภาคีเครือข่าย เพื่อเดินหน้าสนับสนุน “น่านโมเดล” เมืองต้นแบบสุขภาพ ที่มีอารยสถาปัตย์ มีสภาพแวดล้อม และสิ่งอำนวยความสะดวก รองรับ  ผู้สูงวัย คนพิการ ตามแนวคิดการออกแบบเพื่อทุกคน หรือ Universal Design (UD) 

นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์ ด้วยจำนวนผู้สูงอายุกว่า 13 ล้านคน คิดเป็น 20 %ของประชากรไทย และมีคนพิการมากกว่า 2.1 ล้านคน คิดเป็น 3% ของประชากรไทย กิจกรรมเปิดเมืองอารยสถาปัตย์ เมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเพื่อคนทั้งมวล จังหวัดน่าน ถือเป็นโครงการที่ตอบสนองนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข ในการส่งเสริมการจัดบริการสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub and Wellness) และระบบโลจิสติก เพื่อขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นเลิศในผลิตภัณฑ์ และการบริการด้านสุขภาพการรักษาพยาบาลในภูมิภาคเอเชีย มีเป้าหมาย 4 ด้าน 1.ขับเคลื่อนเมืองสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) 2.ธุรกิจการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Health & Wellness Tourism) 3.การท่องเที่ยวเพื่อคนทั้งมวล (Tourism for All) ของจังหวัดน่าน 4.ส่งเสริมสิทธิความเสมอภาคเท่าเทียมของคนพิการรองรับสังคมผู้สูงวัย (Aging Society) ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2561-2580 ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันด้วยการสร้างความหลากหลายด้านการท่องเที่ยว

“นักท่องเที่ยวในกลุ่มเป้าหมายนี้ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มผู้พักฟื้นสุขภาพ กลุ่มผู้ป่วย กลุ่มคนพิการ และกลุ่มที่ต้องการได้รับการดูแลเป็นพิเศษ เช่น สตรีมีครรภ์ เด็กเล็กต้องใช้รถเข็น ดังนั้นการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ จึงจำเป็นต้องพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกที่สามารถรองรับกลุ่มคนพิเศษเหล่านี้ด้วย แนวคิดการออกแบบเพื่อทุกคน หรือ UD  จึงเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นที่จะต้องทำอย่างเร่งด่วน เพื่ออำนวยความสะดวก และเพื่อความปลอดภัยของคนกลุ่มนี้” นพ.ชลน่าน กล่าว

นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า จากสถานการณ์ประชากรผู้สูงอายุไทยในปี 2565 มีผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป 12.69 ล้านคน คิดเป็น 19.21% ถือเป็นการเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ ผู้สูงอายุจำนวนมากมีบ้านที่มีสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม และไม่ปลอดภัยต่อการดำเนินชีวิต  และจากข้อมูลปี 2564 มีผู้สูงอายุ 853,390 คน ระบุว่าเคยหกล้มในบริเวณบ้าพักมากที่สุด ผู้สูงอายุ 216,078 คน ที่เคยหกล้มภายในตัวบ้าน เป็นการหกล้มในห้องน้ำมากที่สุด รองลงมาคือ ห้องนอน ระเบียงบ้าน และบันได ตามลำดับ ขณะที่ข้อมูลคนพิการ ปี 2566 มีคนพิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการทั่วประเทศ 2.18 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นคนพิการทางการเคลื่อนไหวหรือทางร่างกาย ทั้งผู้สูงอายุและคนพิการ ถือเป็นกลุ่มที่มีความเปราะบางในการดำเนินชีวิต จากความเสื่อมถอยของร่างกายตามวัยของผู้สูงอายุ และข้อจำกัดในการใช้ชีวิตประจำวัน ทั้งการเดินทางผ่านระบบขนส่งสาธารณะ และการเข้าถึงสถานที่สาธารณะ

“สสส. สนับสนุนให้ผู้สูงอายุและคนพิการได้ออกมาใช้ชีวิตในพื้นที่ต่างๆ อย่างมีอิสระ สะดวก และปลอดภัย โดยร่วมกับภาคีเครือข่าย สนับสนุนองค์ความรู้เรื่องการออกแบบเพื่อทุกคน ปรับปรุง พัฒนา อาคาร สถานที่ ให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้สูงอายุ คนพิการและคนทั้งมวล ทั้งในหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และธุรกิจท่องเที่ยว ทั้งแหล่งท่องเที่ยว โรงแรมต่างๆ เกิดเป็นพื้นที่ต้นแบบการท่องเที่ยวอารยสถาปัตย์ใน 10 จังหวัด ซึ่ง จ.น่าน เป็น 1 ใน 10 พื้นที่ต้นแบบที่ได้ขับเคลื่อนและพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกตามแนวคิด UDในสถานที่สาธารณะ และแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ เช่น ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว วัดภูมินทร์ และวัดสวนตาลซึ่งมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่สามารถรองรับนักท่องเที่ยวทั้งมวลได้” ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าว

นายกฤษณะ ละไล ประธานมูลนิธิอารยสถาปัตย์เพื่อคนทั้งมวล กล่าวว่า ปี 2566 จ.น่าน มีนักท่องเที่ยว 1,570,213 คน แบ่งเป็น คนไทย 1,554,216  คน ชาวต่างชาติ 15,997 คน  สร้างรายได้ 4,415 ล้านบาทโดยเริ่ม Kick off ที่วัดภูมินทร์ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเพื่อคนทั้งมวล เพราะเป็นสถานที่สำคัญที่อยู่คู่เมืองมามากกว่า 400 ปี นำแนวคิดอารยสถาปัตย์ ปรับบริเวณจุดทางลาดให้ถูกต้องหรือแพลตฟอร์มลิฟต์สำหรับขึ้นวิหาร ชมจิตรกรรมปู่ม่านย่าม่าน ปรับปรุงทางลาดบริเวณฟุตบาทรอบวัดและทำทางลาดจุดเชื่อมต่อต่างๆ ให้ผู้ที่ใช้วีลแชร์เข้าถึงได้ สะดวก ปลอดภัย ได้มาตรฐาน ตามหลักอารยสถาปัตย์ 7 ประการ คือ 1.ความเสมอภาค ทุกคนใช้งานได้ ไม่เลือกปฏิบัติ 2.ความยืดหยุ่น ใช้งานได้กับผู้ที่ถนัดซ้ายและขวา หรือปรับสูงต่ำได้ตามความสูงของผู้ใช้ 3.เรียบง่ายและเข้าใจได้ดี เช่น มีภาพ คำอธิบาย สัญลักษณ์สากล สำหรับทุกกลุ่มไม่ว่าจะมีความรู้ระดับไหน อ่านหนังสือออกหรือไม่ 4.เข้าใจง่าย มีข้อมูลคำอธิบายหรือรูปภาพประกอบการใช้ 5.ปลอดภัยขณะใช้งานทนทาน 6.ทุ่นแรง สะดวก 7.มีขนาด-สถานที่ที่เหมาะสม ออกแบบคิดเผื่อสำหรับคนร่างกายใหญ่โต คนที่เคลื่อนไหวร่างกายยาก ในอนาคตจะปรับสถานที่สำคัญต่างๆ ใน จ.น่านและเตรียมขยายผลไปยัง จ.อุดรธานี จ.ระยอง จ.พิษณุโลก จ.ราชบุรี จ.กาญจนบุรี และจ.สงขลา ต่อไป

นายกฯเล็งยก "น่าน" จังหวัดต้นแบบขับเคลื่อนแก้หนี้นอกระบบ 

วันที่ 23 ธ.ค.66 ณ ศาลากลางจังหวัดน่าน ตำบลไชยสถาน อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ลงพื้นที่ติดตามประเด็นการเจรจาแก้หนี้นอกระบบในพื้นที่จังหวัดน่าน พร้อมประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องในพื้นที่จังหวัดน่าน และร่วมรับฟังการเจรจาแก้ปัญหาหนี้ระหว่างประชาชน (ลูกหนี้) กับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องในพื้นที่จังหวัดน่าน โดยมี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ร่วมด้วย

โดยนายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายว่า วันนี้มาลงพื้นที่จังหวัดน่านเป็นจังหวัดแรก ตั้งเป้าหมายให้เป็นจังหวัดต้นแบบในการขับเคลื่อนเรื่องการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบทั้งหมด ซึ่งรัฐบาลได้ประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติไปแล้ว การดำเนินการแก้ไขหนี้ที่ผ่านมา ไม่ได้หมายความว่าเจ้าหน้าที่ปล่อยปละละเลย แต่เป็นที่ทราบดีว่าปัญหานี้อยู่คู่กับสังคมไทยมานาน และได้แก้ไขปัญหาบนพื้นฐานของพื้นที่ที่สามารถทำได้ วันนี้ถือเป็นนิมิตหมายที่ดี ที่มีนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินทางลงพื้นที่รับฟังพร้อมแก้ไขปัญหา ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญกับปัญหาดังกล่าว ทั้งนี้ ถ้าปัญหาไม่ถูกแก้ไข จะกลายเป็นสารตั้งต้นเกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา ทั้งปัญหายาเสพติด ปัญหาสังคม ปัญหาความไม่ปลอดภัยของประชาชน ถึงแม้ว่าจังหวัดน่านจะเป็นจังหวัดเล็ก ๆ แต่มีหน่วยงานครบทุกหน่วยงาน หากสามารถร่วมกันทำงาน พัฒนาแก้ไขปัญหาตรงนี้ได้ เรื่องหนี้นอกระบบเป็นปัญหาทุกข์ใจของประชาชน เป็นปัญหาที่ไม่ใช่ความผิด ซึ่งปัญหาไม่ได้เกิดจากการพนันหรือการซื้อยาเสพติด แต่เป็นปัญหาทางเศรษฐกิจที่ทุกท่านรู้กันดี รวมถึงการถูกเรียกเก็บดอกเบี้ยที่ไม่เป็นธรรม

“วันนี้รัฐบาลจะมาเดินหน้าแก้ไขปัญหาให้เป็นรูปธรรม ขอให้ทุกหน่วยงานร่วมกันเป็นเจ้าภาพแก้ไขปัญหาให้ความเป็นธรรมทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ โดยยึดกฎหมายเป็นที่ตั้ง ถ้าสามารถทำได้จะเกิดการเปลี่ยนแปลง มีสิ่งดี ๆ ตามมาในชีวิตของประชาชน ขอให้ทุกท่านที่นั่งอยู่ตรงนี้เป็นผู้รับใช้ของประชาชน เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ ที่รัฐบาลชุดนี้กำหนดต้องดำเนินการให้สำเร็จ ขอให้จังหวัดน่านเป็นจังหวัดต้นแบบในการแก้ไขปัญหา ขอให้กระทรวงมหาดไทยกำชับหน่วยงานในสังกัดในพื้นที่ดูแลเรื่องนี้เป็นพิเศษ ขอฝากความหวังให้เจ้าหน้าที่ทุกคน ทุกหน่วยงานคืนรอยยิ้มให้คนไทยทุกคน”นายกรัฐมนตรี ย้ำ

นายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมการดำเนินการแก้ไขปัญหาที่ประสบความสำเร็จ แต่ยังมีปัญหาเรื่องการดำเนินการ จากจำนวนผู้มาลงทะเบียนจำนวนมาก แต่พอถึงเวลาเจรจาไกล่เกลี่ย กลับมีลูกหนี้เดินทางมาเข้าสู่ระบบจำนวนไม่มาก ขอให้พิจารณากระบวนการทำงาน ปรับเปลี่ยนจากที่ลูกหนี้เดินทางมาจังหวัด ให้จัดตลาดนัดแก้ไขหนี้ในตำบล ให้เจ้าหนี้และลูกหนี้เดินทางมาสะดวกขึ้น พร้อมมอบหมายให้กรมการปกครองสั่งการให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน รวมถึงเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองลงพื้นที่เก็บข้อมูล อำนวยความสะดวกแก่ประชาชนให้มากขึ้น พร้อมกับฝากให้ฝ่ายความมั่นคงดูแลเรื่องความปลอดภัยในชีวิตของลูกหนี้ และมอบหมายให้ ธ.ก.ส. และธนาคารออมสิน คำนวณอัตราหนี้และจำนวนเงินดอกเบี้ยที่ส่งไปแล้ว หากเกินจำนวนเงินที่กู้ ขอให้เจรจายุติหนี้

ด้านนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยพร้อมรับข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีไปดำเนินการ พร้อมกับยืนยันว่ากระทรวงมหาดไทยได้ประกาศนโยบายชัดเจน ให้ข้าราชการในสังกัดลงพื้นที่พบชาวบ้านสอบถามข้อมูล ให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ พร้อมกำชับฝ่ายปกครองให้ขับเคลื่อนการทำงานแก้ไขปัญหาหนี้ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น

สำหรับการดำเนินการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบจังหวัดน่าน ตามแนวทางที่กรมการปกครองและกระทรวงมหาดไทยกำหนด มีผู้ลงทะเบียนขอรับความช่วยเหลือ (ข้อมูล ณ วันที่ 22 ธันวาคม) จำนวนลูกหนี้ 563 ราย จำนวนเจ้าหนี้ 518 ราย ยอดหนี้มูลค่ารวม 33,041,242 บาท ส่วนสาเหตุการเป็นหนี้ 5 อันดับแรก ได้แก่ ด้านอุปโภค 602 ราย ด้านการลงทุน 496 ราย ต่อเติมที่อยู่อาศัย 109 ราย ค่าเทอม 288 ราย และการพนัน 17 ราย

โดยจังหวัดน่านกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดไว้ ดังนี้ 1. กำหนดการเจรจาไกล่เกลี่ยได้อย่างน้อยร้อยละ 80 ของลูกหนี้ในระบบและเจ้าหนี้ตามฐานข้อมูล โดยสามารถตกลงกันได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 50  2. เจ้าพนักงานตำรวจ สามารถดำเนินคดีได้ทั้งหมดร้อยละ 70 ของเรื่องรับดำเนินการ ระยะเวลาดำเนินการหากเป็นสำนวนไม่ยุ่งยากดำเนินการเสร็จก่อน 3 เดือน กรณีมีความซับซ้อนไม่เกิน 3 เดือน 3. การให้ความช่วยเหลือทางการเงิน ซึ่งจะต้องได้รับการให้สินเชื่อโดยธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร มีเป้าหมายผู้ได้รับความช่วยเหลือไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 ของผู้ลงทะเบียน 4. ทุกอำเภอต้องดำเนินการไกล่เกลี่ยให้สำเร็จอย่างน้อย 1 กรณีตัวอย่าง (Best Practice) และ 5. จังหวัดน่านกำหนดให้แก้ไขปัญหาในภาพรวม ได้อย่างน้อย 10% ของผู้ลงทะเบียน ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2566

สำหรับผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาฯ ที่ผ่านมาของจังหวัดน่าน จากจำนวนลูกหนี้ที่ลงทะเบียนทั้งหมด 563 ราย ลูกหนี้เข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ย 52 ราย คิดเป็น 32.70% ไกล่เกลี่ยสำเร็จ 4 ราย อยู่ระหว่างดำเนินการไกล่เกลี่ย 48 ราย และให้รัฐจัดหาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ 28 ราย คิดเป็น 17.61 % รวมผลการดำเนินการแก้ไขให้ความช่วยเหลือแล้วจำนวน  80 ราย คิดเป็น 50.31% 

 

#หนี้นอกระบบ #น่าน

 

“นายกฯ” บินน่าน ติดตามเจรจาแก้หนี้นอกระบบ รับฟังปัญหาลูกหนี้-หน่วยงานราชการ

 

เมื่อเวลา 10.26 น.วันที่ 23 ธ.ค. 2566 ที่ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง กรุงเทพฯ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง พร้อมด้วย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.สาธารณสุข นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง เดินทางลงพื้นที่จังหวัดน่าน 

โดยเวลา 14.00 น.นายกฯ เป็นประธานการประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อติดตามการเจรจาแก้หนี้นอกระบบในพื้นที่จังหวัดน่าน และ ร่วมรับฟังการแก้ปัญหาหนี้ระหว่างประชาชน (ลูกหนี้) กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก่อนเดินทางกลับถึงกรุงเทพฯในเวลา 16.15 น.

 "นายกฯ" ลงพื้นที่น่านพรุ่งนี้  ติดตามการเจรจาแก้หนี้นอกระบบ

 

วันที่ 22 ธันวาคม 2566 นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เตรียมลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดน่าน ในวันเสาร์ที่ 23 ธันวาคม 2566 เพื่อติดตามประเด็นการเจรจาแก้หนี้นอกระบบในพื้นที่จังหวัดน่าน โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พลตำรวจโท อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นายศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ร่วมคณะตรวจราชการ ซึ่งมีกำหนดการดังนี้
 
เวลาประมาณ 11.00 น. นายกรัฐมนตรีออกเดินทางจากท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง กรุงเทพฯ ไปยังท่าอากาศยานน่านนคร ตำบลผาสิงห์ อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน โดยในเวลาประมาณ 14.00 น. ที่ศาลากลางจังหวัดน่าน นายกรัฐมนตรีจะติดตามประเด็นการเจรจาแก้หนี้นอกระบบในพื้นที่จังหวัดน่าน โดยนายกรัฐมนตรีจะประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง และร่วมรับฟังการเจรจาแก้ปัญหาหนี้ระหว่างประชาชน (ลูกหนี้) กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว นายกรัฐมนตรีจะเดินทางกลับถึงท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง กรุงเทพฯ ในเวลาประมาณ 16.15 น. ทั้งนี้ กำหนดการอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม

“การลงพื้นที่จังหวัดน่านของนายกฯ เพื่อติดตามการเจรจาแก้หนี้นอกระบบในครั้งนี้ เป็นการยืนยันว่า นายกฯ และรัฐบาลให้ความสำคัญกับปัญหาหนี้นอกระบบที่ส่งผลกระทบต่อทุกคนที่อยู่ในระบบเศรษฐกิจ และให้ความสำคัญกับประชาชนส่วนใหญ่ที่เป็นรากฐานสำคัญของประเทศ โดยการเร่งแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ ฟื้นฟูสภาพความเป็นอยู่ คืนศักดิ์ศรี คืนความหวังและสร้างความมั่นคงให้กับประชาชนคนไทย ให้มีความเข้มแข็งตั้งแต่ระดับครัวเรือนจนถึงระดับมหภาค รวมทั้งยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนทำให้ไม่กลับไปมีหนี้ล้นพ้นตัวอีก” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีย้ำ

 

#น่าน #นายกฯ #แก้หนี้นอกระบบ

น่าน พุทธศาสนิกชนหลั่งไหลทำบุญผ้าป่าข้าวสาร 40 ตัน ช่วยเหลือสังคม

 

นายกฤชเพชร เพชระบูรณิน  รองผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน เป็นประธานพิธีฝ่ายฆราวาส อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ เพื่อประดิษฐานบนองค์เจดีย์ข้าวสาร เนื่องในงานผ้าป่าข้าวสาร มหาสังฆทานช่วยเหลือสังคม ปีที่ 6 ประจำปี พ.ศ.2566 ที่วัดป่านันทบุรีญาณสังวราราม ตำบลผาสิงห์ อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน   โดยมีพระราชศาสนาภิบาล เจ้าคณะจังหวัดน่าน เป็นประธานฝ่ายสงฆ์   และพระครูกิตติจันทโรภาส เจ้าคณะอำเภอเมืองน่านฝ่ายธรรมยุต เจ้าอาวาสวัดป่านันทบุรีญาณสังวราราม  ตลอดจนคณะสงฆ์จังหวัดน่าน   และคณะศรัทธา พุทธศาสนิกชนได้ดำเนินการจัดตั้งองค์ผ้าป่าข้าวสาร สร้างเจดีย์ข้าวสาร ด้วยข้าวสารจ้าว และข้าวสารเหนียว บรรจุถุงที่ได้มาจากผู้มีจิตศรัทธา นำมาถวายเป็นพุทธบูชา ที่มีความสูง 3 เมตร นับจากปลายยอดฉัตร โดยมีพุทธศาสนิกชนจำนวนมาก เข้าร่วมพิธี


พระครูกิตติจันทโรภาส เจ้าคณะอำเภอเมืองน่านฝ่ายธรรมยุต เจ้าอาวาสวัดป่านันทบุรีญาณสังวราราม กล่าวเจริญพร  ปีนี้มีผู้ใจบุญ พุทธศาสนิกชนประชาชนชาวจังหวัดน่าน และต่างจังหวัด ร่วมกันนำข้าวสารทั้งข้าวสารจ้าว และข้าวสารเหนียว มาร่วมทำบุญผ้าป่าข้าวสาร กว่า 40 ตัน  ซึ่งหลังประกอบพิธีจะนำข้าวสารทั้งหมดไปถวายพระภิกษุสงฆ์ และสารเณรโรงเรียนพระปริยัติธรรม และมอบให้แก่โรงเรียนต่างๆในถิ่นทุรกันดารในพื้นที่จังหวัดน่าน มากกว่า 70 โรงเรียน รวมถึงผู้ด้อยโอกาสผู้ยากไร้ ผู้ป่วยติดเตียง ที่ต้องการความช่วยเหลือ ผ่านทางสาธารณสุขจังหวัดน่าน และพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดน่าน อสม.จังหวัดน่าน เพื่อร่วมใจกันในการช่วยเหลือสังคม แบ่งเบาภาระในการช่วยเหลือสังคมร่วมกัน ตามวัตถุประสงค์ต่อไป

​​​​​​​ ​​​​​​​ ​​​​​​​