GCAP GOLD มองราคาทองคำย่อตัวระยะสั้น แนะกลยุทธ์ “เล่นรอบ–ทยอยขาย” เป้าหมาย 49,000 บาท

GCAP GOLD มองราคาทองคำย่อตัวระยะสั้น แนะกลยุทธ์ “เล่นรอบ–ทยอยขาย” เป้าหมาย 49,000 บาท

วันที่ 25 มีนาคม 2568 นางสาวอารีรัตน์ มุราชัย นักวิเคราะห์จากบริษัท จีแคป จำกัด (GCAP GOLD) เปิดเผยแนวโน้มราคาทองคำในสัปดาห์นี้ว่า ยังคงเผชิญแรงกดดันจากความผันผวนของตลาด โดยล่าสุดราคาทองคำในตลาดโลกปรับขึ้นแตะระดับสูงสุดใหม่ที่ 3,057 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนอ่อนตัวลงจากแรงขายทำกำไรช่วงปลายสัปดาห์

GCAP GOLD แนะนำกลยุทธ์การลงทุนว่า หากราคาทองคำยังสามารถยืนเหนือแนวรับสำคัญที่ 3,000 ดอลลาร์ได้ นักลงทุนสามารถ “รอย่อตัวเพื่อเปิดสถานะซื้อ (Open Long)” ได้เช่นกัน โดยประเมินว่าหากราคาหลุดแนวรับดังกล่าว จะมีแรงขายระลอกใหม่กดดันให้ราคาปรับตัวลงไปทดสอบแนวรับถัดไปที่ระดับ 2,970 – 2,930 ดอลลาร์

แนวโน้มราคาทองคำในประเทศ

ราคาทองคำในประเทศคาดว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 47,900 – 48,000 บาทต่อบาททองคำ หากราคาสามารถดีดตัวกลับจากระดับแนวรับได้ ก็มีโอกาสปรับขึ้นต่อ โดยมีแนวต้านถัดไปที่ระดับ 3,072 – 3,100 ดอลลาร์ หรือคิดเป็นราคาทองคำในประเทศที่ 48,800 – 49,000 บาท ซึ่งเป็นระดับเป้าหมายในการทยอยขายทำกำไร

ปัจจัยต่างประเทศที่ต้องจับตา

GCAP GOLD แนะนำให้นักลงทุนติดตามปัจจัยภายนอกที่อาจส่งผลต่อทิศทางราคาทองคำ ดังนี้:

-ท่าทีเรื่องภาษีของสหรัฐฯ: ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งสัญญาณความยืดหยุ่นต่อแผนการเรียกเก็บภาษีตอบโต้ที่จะเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 2 เมษายน 2568 อาจถูกตีความว่า สหรัฐฯ ยังเปิดช่องสำหรับการเจรจากับประเทศคู่ค้า ซึ่งส่งผลกดดันต่อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย

-ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์: โดยเฉพาะสถานการณ์ในตะวันออกกลาง ที่อิสราเอลกลับมาใช้กำลังโจมตีกลุ่มฮามาส ซึ่งหากสถานการณ์ยืดเยื้อ อาจกระตุ้นแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยกลับเข้ามาอีกครั้ง

-การหารือระหว่างรัสเซีย–ยูเครน–สหรัฐฯ: นักลงทุนควรติดตามความคืบหน้าในการเจรจาสันติภาพ ซึ่งอาจมีผลต่อความเชื่อมั่นของตลาดโลก

-ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่จะประกาศในสัปดาห์นี้:

-วันที่ 27 มีนาคม: การรายงานตัวเลข GDP สหรัฐฯ ไตรมาส 4/2567 ซึ่งหากมีการปรับตัวมากกว่าคาดการณ์ อาจส่งผลต่อความคาดหวังด้านอัตราดอกเบี้ยของเฟด

-วันที่ 28 มีนาคม: การประกาศดัชนี PCE Price Index ซึ่งเป็นตัวชี้วัดเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐให้ความสำคัญ หากตัวเลขออกมาสูงเกินคาด จะกดดันราคาทองคำ ขณะที่ตัวเลขต่ำกว่าคาดจะหนุนราคาทองคำให้ปรับตัวขึ้น

สรุปกลยุทธ์จาก GCAP GOLD

-รอ “ย่อตัวเพื่อซื้อ (Open Long)” หากราคายังยืนเหนือ 3,000 ดอลลาร์

-เป้าหมายแนวต้านที่แนะนำขายทำกำไร: 48,800-49,000 บาทต่อบาททองคำ

-จับตาปัจจัยเศรษฐกิจ-ภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลก ซึ่งยังเป็นตัวแปรสำคัญต่อราคาทองในระยะสั้น

#GCAPGOLD #ราคาทอง #ทองคำ #ข่าววันนี้ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

 

ส่งออก ก.พ.โตสูงจากทองคำ-อิเล็กทรอนิกส์-ความกังวลสงครามการค้า มองส่งออก มี.ค.ยังมีแรงส่งต่อเนื่อง

ส่งออก ก.พ. 2025 โตสูงจากทองคำ อิเล็กทรอนิกส์ และความกังวลสงครามการค้า มองส่งออก มี.ค. ยังมีแรงส่งต่อเนื่อง

มูลค่าการส่งออกสินค้าไทยเดือน ก.พ. 2025 เร่งตัวสูงถึง 14%YOY อยู่ที่ 26,707.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่อเนื่องจาก 13.6% ในเดือนก่อนใกล้เคียงที่คาดไว้ (SCB EIC ประเมินที่ 17.0% และค่ากลาง Reuter Poll 9.7%) โดยภาพรวมการส่งออกไทยช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ขยายตัว 13.8% การส่งออกทองคำและประเด็นพิเศษทองคำยังคงเป็นปัจจัยหนุนการส่งออกที่สำคัญในเดือน ก.พ. 2025 โดยการส่งออกสินค้ากลุ่มโลหะมีค่าและของที่หุ้มด้วยโลหะมีค่าอื่นๆขยายตัวมากถึง 4,160% ต่อเนื่องจาก 3,418% ซึ่ง SCB EIC ประเมินว่า เกือบทั้งหมดเป็นการส่งออกทองคำในรูปของทองคำผสมแพลทินัมในสัดส่วนน้อยไปยังตลาดอินเดียเพื่อประโยชน์ทางภาษีของผู้นำเข้าอินเดีย  ซึ่งเริ่มเกิดขึ้นในเดือน พ.ย. และชัดเจนขึ้นในเดือน ธ.ค.ปี 2024 ที่ขยายตัวมากถึง 524,302% นอกจากนี้ การส่งออกทองคำยังไม่ขึ้นรูปยังขยายตัวสูงมากถึง 26.1% ต่อเนื่องจาก 148.9% ในเดือนก่อน โดยเฉพาะตลาดสวิตเซอร์แลนด์ (339.5%) ตลาดสิงคโปร์ (277.1%) การส่งออกทองคำ รวมถึงสินค้ากลุ่มโลหะมีค่าและของที่หุ้มด้วยโลหะมีค่าอื่นๆเพิ่มขึ้นเป็นพิเศษอย่างเห็นได้ชัดนี้ มีส่วนทำให้มูลค่าการส่งออกของไทยเดือน ก.พ.2025 ขยายตัวมากถึง 6.1% ทั้งนี้หากพิจารณามูลค่าการส่งออกที่ไม่รวมทองคำและสินค้ากลุ่มโลหะมีค่าและของที่หุ้มด้วยโลหะมีค่าอื่นๆนี้ (เพื่อให้สะท้อนกิจกรรมการส่งออกที่เกิดขึ้นจริง) พบว่าขยายตัวที่ 8.2% (เทียบกับเดือนก่อนที่ 6.2%) 

นอกจากปัจจัยทองคำ การส่งออกไทยเดือนนี้ยังคงได้รับแรงส่งจากวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์ขาขึ้นและการเร่งส่งออกก่อนนโยบายกีดกันการค้าสหรัฐฯ ต่อเนื่องจากเดือนก่อน ประกอบกับการนำเข้าของจีนที่เพิ่มขึ้นหลังเทศกาลตรุษจีน สะท้อนจาก (1) การส่งออกคอมพิวเตอร์ขยายตัวมากถึง 51.3% ต่อเนื่องจาก 45% ในเดือนก่อน โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ (35.2%) และตลาดจีน (230.3%) (2) การส่งออกไปสหรัฐฯ ขยายตัวมากถึง 18.2% และขยายตัวทั่วถึงหลายกลุ่มสินค้าหลัก โดยเฉพาะเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (35.3%) เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ (92.8%) ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับสงครามการค้าโดยตรง และ (3) การส่งออกไปจีนขยายตัวมากถึง 22.4% โดยขยายตัวดีในหลายสินค้า โดยเฉพาะสินค้าขั้นกลางที่ไทยส่งออกไปจีนและเกี่ยวเนื่องกับห่วงโซ่การผลิตจีนที่อาจได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า อาทิ ผลิตภัณฑ์ยาง (41.6%) ยางพารา (69.8%) เคมีภัณฑ์ (50.5%) รวมถึงการส่งออกเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบไปจีนขยายตัวดี (230.3%) 

สินค้าอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัวดี ขณะที่สินค้าเกษตร สินค้าแร่และเชื้อเพลิงหดตัวในเดือน ก.พ.หากพิจารณารายหมวด พบว่า (1) สินค้าอุตสาหกรรมขยายตัว 17.2% เติบโตดีต่อเนื่องนานเกือบปี โดยอัญมณีและเครื่องประดับหักทอง ทองคำยังไม่ขึ้นรูป เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องปรับอากาศ 
และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล เป็นสินค้าหลักที่ขยายตัว ขณะที่เหล็ก รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ และอุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด เป็นสินค้าหลักที่หดตัว ทั้งนี้หากหักทองคำและสินค้ากลุ่มโลหะมีค่าและของที่หุ้มด้วยโลหะมีค่าอื่นๆ การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมจะขยายตัว 10% (2) สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตรขยายตัวสูง 9.9% เทียบเดือนก่อนที่ 3% โดยน้ำตาลทราย ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีและอาหารสำเร็จรูปอื่น ๆ ผลไม้กระป๋องและแปรรูป และอาหารสัตว์เลี้ยงขยายตัวดี ขณะที่เนื้อสัตว์และของปรุงแต่งที่ทำจากเนื้อสัตว์หดตัว

(3) สินค้าเกษตรหดตัว -1.6% หดตัวน้อยลงจากเดือนก่อนที่หดตัว -2.2% โดยยางพาราและสินค้าปศุสัตว์อื่นๆ เป็นสินค้าที่ขยายตัวดี ขณะที่ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และข้าวหดตัว และ (4) สินค้าแร่และเชื้อเพลิงกลับมาหดตัวสูง -11.5% หลังจากขยายตัวเล็กน้อย 0.3% ในเดือนก่อน โดยน้ำมันสำเร็จรูปยังคงหดตัว -3.6% เทียบเดือนก่อนที่หดตัว -4.3% ซึ่งเป็นการหดตัวต่อเนื่องนาน 6 เดือนแล้ว ตลาดอินเดีย และสวิตเซอร์แลนด์ยังคงขยายตัวดีจากการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับ ขณะที่การส่งออกไปสหรัฐฯ และจีนได้แรงหนุนจากคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ 

หากพิจารณารายตลาดหลัก พบว่า (1) ตลาดอินเดียขยายตัว 156.8% สูงกว่าเดือนก่อนที่ขยายตัว 129.8% โดยการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับขยายตัวสูงถึง 2,066% หรือราว 62% ของมูลค่าการส่งออกไปอินเดียทั้งหมดในเดือนนี้ ซึ่งหากพิจารณาปัจจัยพิเศษ พบว่า ไทยส่งออกสินค้ากลุ่มโลหะมีค่าและของที่หุ้มด้วยโลหะมีค่าอื่นๆ ไปอินเดียสูงถึง 1,224.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวต่อเนื่องมากถึง 111,202% (ซึ่งเติบโตสูงมากถึง 524,302% และ 241,819% ในเดือน ธ.ค.2024 และ ม.ค. 2025 ตามลำดับ) คิดเป็น 96% ของการส่งออกสินค้ากลุ่มโลหะมีค่าและของที่หุ้มด้วยโลหะมีค่าอื่นๆทั้งหมดของไทยในเดือนนี้ (2) ตลาดสวิตเซอร์แลนด์ขยายตัวสูง 235.7% แม้ชะลอลงจาก 852.7% เดือนก่อน ส่วนใหญ่เป็นการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับ ซึ่งขยายตัวสูง 311% คิดเป็น 93% ของมูลค่าส่งออกไทยทั้งหมดไปสวิตเซอร์แลนด์เดือนนี้ โดยการส่งออกทองคำยังไม่ขึ้นรูปมีมูลค่ามากถึง 701 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวมากถึง 339.5% (คิดเป็น 75.1% ของการส่งออกทองคำไม่ขึ้นรูปทั้งหมดของไทยในเดือนนี้)

(3) ตลาดสหรัฐฯ ขยายตัวดีต่อเนื่อง 18.2% ชะลอลงเล็กน้อยจากเดือนก่อนที่ 22.4% โดยสินค้าส่งออกอิเล็กทรอนิกส์สำคัญ เช่น เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ แผงสวิตช์และแผงควบคุมกระแสไฟฟ้า เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบยังคงขยายตัวสูงต่อเนื่อง 92.8%, 75.2% และ 35.3% ตามลำดับ ขณะที่หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบหดตัว -13.3% หลังจากขยายตัวสูง 33.7% ในเดือนก่อน นอกจากนี้ การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับยังขยายตัวสูงมากถึง 41.1% ขยายตัวติดต่อกันถึง 14 เดือน

(4) ตลาดจีนขยายตัวสูง 22.4% เทียบเดือนก่อนที่ 13.2% แรงส่งหลักมาจากการส่งออกสินค้ากลุ่มเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง ยางพารา และเคมีภัณฑ์ ที่ขยายตัวมากถึง 230.3%, 41.6%, 69.8% และ 50.5% ตามลำดับ (ราว 38% ของมูลค่าส่งออกไทยไปจีน) และจีนกลับมานำเข้าไทยสูงขึ้นหลังหมดเทศกาลตรุษจีน

(5) ตลาดยุโรปเติบโตชะลอลงเหลือ 4.4% จาก 13.2% เดือนก่อน จำนวนสินค้าส่งออกสำคัญที่ขยายตัวได้ในตลาดนี้เหลือเพียง 7 ใน 15 รายการสำคัญ (เทียบ 10 รายการในเดือนก่อน) โดยเครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และผลิตภัณฑ์ยางเป็นสินค้าหลักที่หดตัว ขณะที่การส่งออกเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เป็นสินค้าหลักที่ขยายตัว (66.2%) และ (6) ตลาด CLMV กลับมาหดตัว -1.7% ครั้งแรกในรอบ 14 เดือน (เทียบเดือนก่อนขยายตัว 5.2%) ปัจจัยหลักมาจากการส่งออกไปกัมพูชาหดตัวสูง -40.7% โดยเฉพาะอัญมณีและเครื่องประดับหดตัว -91.9% (ส่งออกทองคำยังไม่ขึ้นรูปหดตัว -92%) น้ำมันสำเร็จรูปหดตัว -22.1% เทียบการขยายตัวสูง 25.3% ในเดือนก่อน (2 สินค้าข้างต้นมีสัดส่วนราว 26% ของมูลค่าส่งออกไทยไปกัมพูชาทั้งหมดในเดือนนี้) ทั้งนี้การส่งออกไปยังเวียดนาม เมียนมา และ สปป.ลาว ยังคงขยายตัวดี 37.3%, 6.1% และ 4.3% ตามลำดับ

นำเข้าโตต่อเนื่อง 8 เดือน แม้มีปัจจัยฐานสูงจากการนำเข้าทองคำ มูลค่าการนำเข้าสินค้าไทยเดือน ก.พ. อยู่ที่ 24,718.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวชะลอลงเหลือ 4% (SCB EIC ประเมิน 4.8% เท่ากับค่ากลางของ Reuter Poll) เทียบการนำเข้าเดือนก่อนที่โตราว 7.9% การนำเข้าขยายตัวต่อเนื่อง 8 เดือน อย่างไรก็ดี การนำเข้าหักทองคำลดลงครั้งแรกในรอบ 4 เดือนที่ -0.5% สะท้อนว่าช่วงปีก่อนไทยนำเข้าทองคำเพิ่มขึ้นมาก เพื่อส่งออกต่อหรือเพื่อเติมสินค้าคงคลังจากการส่งออกทองคำและทองคำผสมเพิ่มขึ้นมาก แม้การนำเข้าสินค้าทุน ยานพาหนะและอุปกรณ์ขนส่ง และสินค้าเชื้อเพลิงหดตัว -11.8% -8.6% และ -5.7% ตามลำดับ การนำเข้าอาวุธและยุทธปัจจัย สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (รวมทองคำ) สินค้าอุปโภคบริโภคขยายตัว 143.5%, 12.8% และ 10.3% ตามลำดับ ตัวเลขดุลการค้า (ระบบศุลกากร) เกินดุล 1,988.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในเดือน ก.พ.และเกินดุลรวม 108 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2025

SCB EIC ประเมินแนวโน้มส่งออกไทยขยายตัวดีในช่วงครึ่งปีแรก แต่ทั้งปีจะขยายตัวชะลอลงเหลือ 1.6% ผลจากสงครามการค้ากระทบส่งออกช่วงครึ่งปีหลัง SCB EIC ประเมินว่า มูลค่าการส่งออกเดือน มี.ค. จะยังขยายตัวได้ดี จากอานิสงส์วัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ขาขึ้น แนวโน้มการเร่งสั่งซื้อของประเทศคู่ค้าก่อนนโยบายกีดกันการค้าของสหรัฐฯ การส่งออกทองคำ รวมถึงทองคำในรูปแบบโลหะอื่นไปยังอินเดียก่อนรัฐบาลอินเดียจะเริ่มปรับปรุงเกณฑ์ช่องว่างการนำเข้าทองคำ นอกจากนี้ ปัจจัยฐานต่ำเดือน มี.ค. 2024 หดตัวสูง -10.5% จะสนับสนุนการส่งออกในเดือน มี.ค.ปีนี้ได้

อย่างไรก็ตาม ทิศทางการส่งออกไทยมีแนวโน้มชะลอลงมากในไตรมาส 2 และจะหดตัวในช่วงครึ่งปีหลัง ผลจากการใช้นโยบายกีดกันการค้า การลงทุน และการอพยพและการเคลื่อนย้ายแรงงาน ที่จะเกิดขึ้นกับหลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะการกีดกันจากสหรัฐฯ ส่งผลให้เศรษฐกิจและบรรยากาศการค้าระหว่างประเทศมีแนวโน้มชะลอตัวลง รวมถึงผล Front load การเร่งผลิตและส่งออกช่วงปลายปีก่อนและต้นปีนี้จะทยอยหมดลง อานิสงส์วัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์ขาขึ้นเริ่มลดลง นอกจากนี้ ปัจจัยฐานสูงจากช่วงครึ่งหลังของปี 2024 จะกดดันการส่งออกในครึ่งหลังของปี เนื่องจากมูลค่าการส่งออกไทยขยายตัวมากถึง 7.5% และ 10.5% ในไตรมาส 3 และ 4 ของปี 2024 ตามลำดับ เทียบกับครึ่งแรกของปี 2024 ที่ 1.9% (ตัวเลขระบบศุลกากร)

ในภาพรวม SCB EIC ประเมินแนวโน้มมูลค่าส่งออกไทยปี 2025 อยู่ที่ 1.6% (ณ มี.ค. 2025) ต่ำลงจากเดิม 2% (ณ พ.ย.2024) (ข้อมูลระบบดุลการชำระเงิน) และต่ำกว่าเป้าหมายของกระทรวงพาณิชย์และรัฐบาลที่ราว 3-3.5% เนื่องจาก SCB EIC ประเมินว่า ปัจจัยสนับสนุนการส่งออกไทยในไตรมาสแรกส่วนมากเป็นปัจจัยชั่วคราว เช่น 
การส่งออกทองคำผสมโลหะไปอินเดีย ขณะที่แรงกดดันต่อเศรษฐกิจและการค้าโลกจะเพิ่มขึ้นมากในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะไตรมาส 4

GCAP GOLD ส่งสัญญาณทองคำแตะ $3,000 แค่ชั่วคราวหรือสัญญาณขาขึ้นรอบใหญ่?

GCAP GOLD ส่งสัญญาณทองคำแตะ $3,000 แค่ชั่วคราวหรือสัญญาณขาขึ้นรอบใหญ่?

เมื่อวันที่ 18 มี.ค.68 บริษัท จีแคป จำกัด หรือ GCAP GOLD ประเมินทิศทางราคาทองคำในตลาดโลกว่า การปรับตัวขึ้นมาอย่างร้อนแรง โดย Gold Spot ปรับตัวขึ้นไปทำ All-Time High ที่ระดับ $3,004 ส่วนราคาทองคำไทยก็ไม่น้อยหน้า ปรับตัวขึ้นมาแตะที่ 47,600 บาท โดยได้ปัจจัยหนุนจากปัญหาเรื่องสงครามการค้าที่มีแนวโน้มขยายตัวรุนแรงมากขึ้น หลังสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปได้โต้ตอบกันผ่านการขึ้นภาษีสินค้านำเข้า โดย EU ขึ้นภาษี 50% ต่อวิสกี้ของสหรัฐฯ ส่วนสหรัฐฯ ขู่กลับว่าจะเรียกเก็บภาษีผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์และไวน์นำเข้าจาก EU สูงถึง 200% ตลาดมองว่าปัญหาดังกล่าวอาจดำเนินต่อไปอีกสักระยะ ซึ่งกระตุ้นให้นักลงทุนหันมาถือครองทองคำเพิ่มมากขึ้น

ขณะที่สถาบันการเงินระดับโลกได้ทยอยออกมาปรับเป้าทองคำขึ้น อาทิ Goldman Sachs ปรับเป้าหมายทองคำสู่ $3,100 จากการเข้าซื้อของธนาคารกลาง และการไหลเข้าของเงินในกองทุนซื้อขายทองคำแท่ง และยังประเมินว่าราคาทองคำอาจพุ่งแตะ $3,300 จากการเก็งกำไรที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย Macquarie Group คาดว่าความต้องการถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยที่เพิ่มสูงขึ้น จะเป็นปัจจัยหนุนให้ราคาทำสถิติสูงสุดที่ระดับ $3,500 ในไตรมาส 3 ปีนี้

ส่วนในสัปดาห์นี้รอติดตามผลการประชุม FOMC ในช่วงคืนวันพุธ ซึ่งคาดว่า เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25 - 4.50% ในการประชุมครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม ไฮไลท์สำคัญจริงๆจะอยู่ที่ถ้อยแถลงหลังการประชุมของประธานเฟด เจอโรม พาวเวล เกี่ยวกับมุมมองเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของเฟดในอนาคตว่าจะออกมาในทิศทางไหน หากเฟดมองว่าเงินเฟ้อยังคงค่อยๆปรับตัวลงหาเป้าหมายตามที่เฟดตั้งไว้ ก็จะเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนราคาทองคำในระยะสั้นในสัปดาห์นี้ได้

ทั้งนี้แนะนำกลยุทธ์การลงทุนสำหรับราคาทองคำในตลาดโลก รอย่อซื้อ Gold Spot  $2,965 / $2,945 ส่วนราคาทองคำไทยปรับฐานแนวรับระยะสั้นขึ้นมาอยู่ที่ 46,800 บาท ดังนั้น การลงทุนในรอบสัปดาห์ควรรอจังหวะการย่อตัว แล้วแบ่งไม้เข้าซื้อตามจุดแนวรับสำคัญที่ 47,250 / 47,000 บาท เน้นลงทุนระยะสั้นแบบเข้าเร็วออกเร็ว โดยประเมินเป้าหมายในการทำกำไรเบื้องต้นไว้ที่ 47,800 - 48,000 บาท

#GCAPGOLD #ราคาทอง #ทองคำ #ข่าววันนี้ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ราคาทองตลาดโลก

 

ทองคำปี 68 ขาขึ้น ลุ้นราคาแตะ 48,000-49,000 บาทใน Q1/68

ทองคำปี 68 ขาขึ้น ลุ้นราคาแตะ 48,000-49,000 บาทใน Q1/68

เมื่อวันที่ 26 ก.พ.68 นายชัยวัฒน์ สามัคคีนิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จีแคป จำกัด (GCAP GOLD) เปิดเผยถึงภาพรวมความเคลื่อนไหวของราคาทองคำในปี 2568 ว่า ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก รวมถึงราคาทองคำในประเทศไทยในปีนี้ ยังมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปทำ New High ที่ระดับสูงสุดใหม่ที่ 3,000-3,150 ดอลลาร์ โดยมีปัจจัยหนุนที่สำคัญจากการกลับมาดำเนินนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เน้นสงครามการค้า และมาตรการกำแพงภาษี ทำให้มองได้ว่าจะเกิดผลกระทบต่อตลาดทองคำต่อจากนี้ คือ ในระยะแรก จะส่งผลต่อความวิตกกังวลของนักลงทุนในตลาด ซึ่งในช่วงระยะนี้จะทำให้ราคาทองคำดีดตัวขึ้น ภาวะดังกล่าวเป็นสิ่งที่ตลาดกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้

นอกจากนี้ GCAP GOLD ยังคงแนะนำให้นักลงทุนติดตามนโยบาย หรือรอดูผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในไตรมาสที่ 2 ทั้งนี้ ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น ยังเป็นปัจจัยสนับสนุนราคาทองคำ

-ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจไม่จบลงง่ายๆ และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะตะวันออกกลาง หลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศนโยบายเข้าไปบริหารฉนวนกาซา ท่ามกลางการคัดค้านจากบรรดาชาติอาหรับ ส่วนฝั่งทะเลจีนใต้ ก็ยังเป็นความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่หนุนทองคำมาโดยตลอด นอกจากนี้ ยังมีจุด Hotspot อื่น ๆ ที่คาดไม่ถึง ซึ่งรอเวลาและโอกาสในการปะทุอยู่ ดังนั้นความเสี่ยงดังกล่าว ยังคงเป็นปัจจัยหนุนราคาทองคำ

-ความต้องการทองคำของธนาคารกลางทั่วโลก ยังมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2567 ธนาคารกลางทั่วโลกซื้อทองคำรวม 1,045 เมตริกตัน ความไม่แน่นอนทั้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และเศรษฐกิจในปี 2568 ยังคงอยู่ในระดับสูง ดังนั้นธนาคารกลางต่างๆยังมีแนวโน้มที่จะซื้อทองคำ และใช้เป็นสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ต่อไป

-ช่วงครึ่งปีแรก ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่า จากภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ยังเปราะบาง ประกอบกับตลาดหุ้นที่ปรับลดประมาณการผลประกอบการ และภาคการท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นตัวมากนัก ส่งผลให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลง โดยแนวโน้มการอ่อนค่าของเงินบาท อาจจะไปได้ถึง 37-38 บาท/ดอลลาร์ ขณะที่แนวรับของเงินบาทคาดว่าจะไม่แข็งค่าหลุดระดับ 32.50 บาท/ดอลลาร์

ทั้งนี้จากปัจจัยข้างต้น GCAP GOLD มองว่าช่วงไตรมาสแรก เป็นช่วงวัดใจของราคาทอง ว่าจะขึ้นแตะระดับ 3,000 ดอลลาร์ ได้ทันทีก่อนเข้าสู่รอบปรับฐานหรือไม่ ซึ่งราคาที่ระดับดังกล่าว ประเมินเป็นราคาทองคำไทย เบื้องต้นที่ 48,000-49,000 บาท และหากค่าเงินบาทอ่อนค่าลง จะยิ่งส่งผลให้ราคาทองคำในประเทศ ปรับตัวสูงขึ้นได้อีก อย่างไรก็ตาม สำหรับนักลงทุนที่ต้องการเข้าซื้อทองคำ GCAP GOLD แนะนำให้รอจังหวะย่อเพื่อปรับฐาน เนื่องจากทุกครั้งที่ราคาปรับขึ้นแรง มักมีการพักตัวตามมา โดยมองแนวรับหลักอยู่ที่ 2,730 และ 2,550 ดอลลาร์ ส่วนราคาทองคำแท่งไทย อาจเห็นการปรับฐานที่ระดับราคา 44,500-42,500 บาท

#ราคาทอง #ทองรูปพรรณ #ข่าววันนี้ #ทองคำ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

"สระบุรี" เก็บทองจากกองขยะ ให้ร้านทองเช็ครู้ราคาถึงกับตะลึง

สระบุรี เก็บทองจากกองขยะให้ร้านทองเช็ครู้ราคาถึงกับตะลึง         

วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 จากกรณีที่ผู้ใช้ TikTok ชื่อ นะโมบ้านช่างทอง ได้โพสต์คลิปว่า มีลูกค้านำทองที่เก็บมาจากบ่อขยะ ให้มาเช็คถึงที่ร้าน ทำให้ลูกค้าตกตะลึงถึงกับอ้าปากค้าง พบทองจริงเพียบไม่คิดว่าจะมีมูลค่ามากขนาดนี้         

ผู้สื่อข่าวได้พบกับนายทวีพร ลือพัฒนวรรณ หรือนะโม เจ้าของร้านนะโมบ้านช่างทอง ตั้งอยู่ริมถนนสายท่าลาน-สระบุรี ต.ท่าลาน อ.บ้านหมอ จ.สระบุรี นายนะโม ซึ่งภายในร้านมีลูกค้าเข้ามาเพื่อนำทองมาให้ตรวจเช็ก และขาย ได้เผยกับผู้สื่อข่าวว่า ตนเองได้เจอกับลูกค้ารายหนึ่ง ซึ่งเดินทางมาจากเขาวงพระจันทร์ จ.ลพบุรี ที่นำทองที่พี่ชายของตนเองมีอาชีพคนเก็บบ่อขยะ แล้วไปค้นเจอทองจากบ่อขยะ เข้ามาในร้านเป็นจำนวนมากเพื่อให้ช่วยเช็กดูว่ามันจะมีทองจริงอยู่บ้างไหม ซึ่งทางร้านก็เจอแบบนี้อยู่ทุกวัน ซึ่งทางร้านก็ได้ร่วมมือเพื่อที่จะให้ลูกค้าสมหวังกลับไป แต่เมื่อตรวจเช็กด้วยตาเปล่าในกองทองแล้วเหมือนไม่มีทองจริงเลย

จากนั้นตนเองได้คัดให้เพราะคิดว่าส่วนใหญ่แล้วน่าจะไม่มี เพราะว่าเป็นทองที่เก็บจากกองขยะมา แต่ของลูกค้าคนนี้มี ซึ่งทางตนเองได้ตรวจสอบดูแล้วประมาณ 2 ชั่วโมง ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่ามีตะขอตัว M ของสร้อยคอทองคำ และก็มีสร้อยคอทองคำเส้นเล็กๆอยู่เส้นหนึ่ง และกรอบพระที่ฉีกขาดอยู่ด้วย จากนั้นได้ทำการแยะเปอร์เซ็นต์ทองต่ำ และทองสูง นำมาลองหลอมดู ก็พบว่าเป็นทอง แต่การตรวจสอบของเรามีหลายขั้นตอนมากๆ โดยนำไปเข้าเครื่องเอ็กซ์เรย์ และนำไปหลอมตรวจสอบอีกครั้ง จึงรู้ว่าเป็นทอง ซึ่งลูกค้าถึงกับตกใจมากๆ เพราะว่าลูกค้าตอนแรกตั้งใจไว้ว่าขอให้มีทองเล็กๆน้อยๆก็ยังดีโดยตั้งเป้าหมายไว้ว่าได้สัก 3-4 พันบาทก็ดีใจแล้ว เพราะว่าเขามีค่าใช้จ่ายที่รออยู่และพี่ชายของเขาที่เฝ้าบ่อขยะได้เก็บไว้หลายปีแล้ว ซึ่งปกติจะเอาไปขายเป็นทองเหลือง แต่เมื่อทางเขาได้ติดตามตนเองทางช่องทางต่างๆเขาก็เลยลองนำมาให้ตนเองตรวจสอบดู ซึ่งลูกค้าคนนี้ก็ไม่ได้เป็นเจ้าแรกที่นำทองมาให้ตรวจเช็กดูแบบนี้ ซึ่งลูกค้าคนนี้เมื่อรู้ว่าเป็นทองก็ตกใจมาก และมีอาการตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลาเมื่อเจอทอง ซึ่งทั้ง2คนก็มีอาชีพเก็บของเก่าจากบ่อขยะโดยพบว่าอะไรที่เหมือนทองก็จะเก็บแยกๆไว้ ซึ่งจากการตรวจเช็กเนื้อทองที่ลูกค้านำมาเช็กและขายให้กับทางร้านนำหนักทองอยู่ที่ประมาณ 8 กรัมแต่เป็นเปอร์เซ็นต์ทองที่แตกต่างกัน ยอดที่ขายได้ไป 19,595 บาทซึ่งเป็นจำนวนเงินที่เยอะมากสำหรับเขา ซึ่งตนเองสังเกตเห็นเลยว่าเขาดีใจมากๆ และขอบคุณตนเอง เพราะว่ากว่าเขาจะหาเงินเท่านี้ได้ต้องใช้เวลาหลายเดือน
       

นายนะโม ได้กล่าวเสริมว่า ตนเองอยากจะบอกทุกๆคนว่ากองขยะหรืออะไรที่เราไม่รู้ค่าบางครั้งอาจจะมีค่าก็ได้ และคนที่เก็บกองขยะส่วนหนึ่งเขามีความหวังที่จะได้ขยะที่มีค่า เพราะฉนั้นเราควรเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่เป็นกำลังใจให้ซึ่งกันและกันไม่ว่าจะเป็นอาชีพไหน ซึ่งทางตนเองยินดีช่วยเหลือและตรวจสอบให้ฟรีโดยไม่มีค่าใช้จ่าย

"ธนาคารทองคำลาว" จับมือกับซิลเวอร์เลค แอ็คซิส พัฒนาคอร์แบงกิ้ง สร้างเสถียรภาพระบบสำรองทองคำ-บริการทางการเงิน

ซิลเวอร์เลค แอ็คซิส (SAL) บริษัทเทคโนโลยีด้านการเงินการธนาคารชั้นนำของภูมิภาค ประกาศความร่วมมือกับธนาคารทองคำลาว โดยทั้งสองฝ่ายได้ลงนามบันทึกข้อตกลงเมื่อวันศุกร์ที่ 13 กันยายน ที่ผ่านมา ในฐานะส่วนหนึ่งของความร่วมมือ ซิลเวอร์เลคฯ จะนำระบบบริการลูกค้าในธุรกิจหลักของธนาคาร Silverlake Symmetri ติดตั้งให้กับธนาคารทองคำลาว (Lao Bullion Bank) ซึ่ง Silverlake Symmetri เป็นหนึ่งในโซลูชันด้านไอทีในการบริหารจัดการระบบการเงินการธนาคารชั้นนำที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล มีฟังก์ชันที่ครอบคลุมการให้บริการระบบการธนาคารทั้งหมด โซลูชันนี้จะช่วยให้ธนาคารทองคำลาว สามารถปรับปรุงระบบไอทีหลักธนาคาร (Core Banking) ของตนให้ทันสมัย ​​พัฒนาธุรกิจให้เติบโต และรักษาต้นทุนบริการให้ต่ำ

จันทอน สิดทิไช ประธานกรรมการ ธนาคารทองคำลาว กล่าวว่า ในฐานะธนาคารแห่งแรกที่อำนวยความสะดวกในการซื้อขายทองคำในประเทศลาว การก่อตั้งธนาคารทองคำลาว ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญสำหรับระบบการเงินของประเทศ ซึ่งจะช่วยให้ทั้งบุคคลและธุรกิจสามารถฝากและซื้อขายทองคำได้อย่างปลอดภัย เรามั่นใจว่าความร่วมมือของเรากับ ซิลเวอร์เลค แอ็คซิส  จะช่วยให้เราบรรลุภารกิจในการสร้างเสถียรภาพให้กับเงินกีบ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับเศรษฐกิจในวงกว้าง ผ่านการสร้างมาตรฐานการซื้อขายทองคำให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล เราภูมิใจที่ได้สนับสนุน วิสัยทัศน์ของรัฐบาลในการสร้างเศรษฐกิจได้อย่างอิสระโดยไม่พึ่งพาประเทศอื่นๆ และการเติบโตอย่างยั่งยืน

โดยความร่วมมือดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนเป้าหมายของธนาคารทองคำลาว ในการสร้างทองคำสำรองขึ้น เพื่อยกระดับเสถียรภาพทางการเงินและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศ  และเนื่องจากธนาคารจะเปิดดำเนินการอย่างเต็มรูปแบบในช่วงปลายปี 2567 นี้ ระบบของซิลเวอร์เลค แอ็คซิส จะช่วยให้บุคคลทั่วไปและธุรกิจ สามารถซื้อขายทองคำได้อย่างสะดวกราบรื่น รวมถึงสามารถใช้บริการทางการเงินอื่น ๆ ของธนาคาร เพื่อเพิ่มบทบาทของธนาคารในฐานะสถาบันกลางในตลาดทองคำ ซึ่งจะช่วยให้ธนาคารสามารถสร้างมาตรฐานการค้าและการลงทุนทองคำ ดึงดูดผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งในและต่างประเทศ 

แคสแซนดรา โกห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มธุรกิจและรองประธานบริหารของซิลเวอร์เลค แอ็คซิส (SAL) กล่าวว่า “เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ร่วมงานกับธนาคารทองคำลาว เรามั่นใจในแนวโน้มการเติบโตของประเทศลาว และรู้สึกยินดีที่ได้รับโอกาสในฐานะผู้ขับเคลื่อนเทคโนโลยีในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่มีศักยภาพในการเติบโตที่แข็งแกร่งนี้ ในขณะที่อุตสาหกรรมอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนา เราเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงภาคธนาคารไปสู่ระบบธนาคารดิจิทัลด้วยการสนับสนุนอย่างแข็งขันจากภาครัฐ ซิลเวอร์เลค แอ็คซิส มีโอกาสที่จะสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงนี้ ด้วยโซลูชันที่หลากหลายตอบสนองต่อความต้องการได้อย่างครอบคลุม และประสบการณ์การทำงานที่ยาวนานของเรา ปัจจุบันประเทศลาวก็เป็นตลาดที่น่าสนใจสำหรับธนาคารดิจิทัลเช่นกัน”

สำหรับความร่วมมือครั้งนี้เป็นครั้งที่สามของ ซิลเวอร์เลค แอ็คซิส ในประเทศลาว และเป็นความร่วมมือใหม่ครั้งแรกของบริษัทในรอบกว่าทศวรรษ นอกจากธนาคารพงสะหวันและธนาคาร RHB ปัจจุบันในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ธนาคารต่างมองหาช่องทางที่จะเพิ่มกิจกรรมทางธุรกิจและก้าวเข้าสู่ตลาดใหม่ๆ ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ซิลเวอร์เลค แอ็คซิส ได้มีความร่วมมือกับกลุ่มชิปมง (Chip Mong Group) จากประเทศกัมพูชา และเคเอ็มเอสโซลูชั่น (KMS Solutions) จากประเทศเวียดนาม ซิลเวอร์เลค แอ็คซิส ยังตั้งเป้าที่จะขยายโซลูชันสำหรับภาคการเงินการธนาคาร เพื่อให้ครอบคลุมความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับอุตสาหกรรมการเงินในภูมิภาคนี้

 

จับลูกจ้างแสบลักสร้อยทองในร้านนานนับปี น้ำหนักรวม 646 บาท

ลูกจ้างแสบลักเอาสร้อยคอทองคำที่อยู่ในตู้โชว์นานนับปี รวม 646 บาท ก่อนนำไปขายเอาเงินไปใช้จ่าย และเที่ยวเตร่

วันนี้ (26 ส.ค.67) ตำรวจ สน.พระราชวัง สนธิกำลังตำรวจสืบสวนนครบาล 6 ร่วมกันจับกุมนายพิศาล อายุ 40 ปี โดยจับกุมได้ที่หน้าบ้านพักหลังหนึ่ง ในอำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี 

 สืบเนื่องจากผู้ต้องหาได้ลักเอาสร้อยคอทองคำที่อยู่ในตู้โชว์ด้านหลังไป โดยนําพวงสร้อยคอทองคำในตู้โชว์ชั้นล่างไปแขวนในตู้โชว์ชั้นบน และอาศัยจังหวะดังกล่าว ปลดตะขอเอาสร้อยคอออกมาจากพวงจำนวนหลายเส้น โดยสร้อยที่ปลดไว้ยังแขวนที่ตู้โชว์ด้านบน

จากนั้นนำพวงเอาสร้อยคอที่เหลือมาเก็บในตู้โชว์ชั้นล่างเช่นเดิม และทำท่าทีจัดสร้อยคอที่ตู้โชว์ชั้นบน และสะกิดให้สร้อยคอที่ปลดตะขอเอาไว้ตกลงมาในใส่ในกำมือของผู้ต้องหา ก่อนเอาสร้อยคอทองคำใส่กระเป๋ากางเกง โดยผู้ต้องหาทำพฤติการณ์ดังกล่าวอยู่หลายครั้ง 

ต่อมาตำรวจได้รับแจ้งจากสายลับว่า นายพิศาล อาศัยอยู่ที่บ้านหลังดังกล่าว จึงเข้าไปตรวจสอบ พบว่านายพิศาล เดินออกมาจากบ้าน จึงแสดงตัวเข้าจับกุมเอาไว้ได้

สอบสวนผู้ต้องหา ให้การยอมรับว่า ได้ลักเอาสร้อยคอ และสร้อยข้อมือทองคำ น้ำหนัก 1-2 บาท ของร้านไปจริง โดยเริ่มทำตั้งแต่เมื่อเดือนมิถุนายน 2566 จนถึงปัจจุบัน ครั้งละประมาณ 5-15 เส้น เรื่อยมาจนถูกตรวจสอบพบ ซึ่งผู้ต้องหาจำไม่ได้ว่าได้ลักทองคำไปจำนวนเท่าไร เนื่องจากกระทำมาหลายครั้ง และทองคำที่ลักมาถูกขายหมดแล้ว โดยเงินที่ได้จะนำไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และท่องเที่ยว ซึ่งผู้ต้องหา ลักเอาทองคำของบริษัทไปประมาณ 646 บาท มูลค่าความเสียหายกว่า 24 ล้านบาท

เบื้องต้น ตำรวจแจ้งข้อหา “ลักทรัพย์ที่เป็นของนายจ้าง หรืออยู่ในความครอบครองของนายจ้าง” ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.พระราชวัง เพื่อดำเนินคดีต่อไป

SCB CIO มองตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวนเมื่อเข้าสู่โค้งสุดท้ายเลือกตั้งสหรัฐฯ พอร์ตหลักแนะหุ้นกลุ่มเทคฯ-สุขภาพ-สาธารณูปโภค-ทองคำ

SCB CIO มองตลาดหุ้นโลกจะมีความผันผวนเพิ่มขึ้นเมื่อเข้าสู่โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากสถิติชี้ว่า ดัชนี VIX จะเร่งตัวขึ้นเมื่อเข้าสู่ช่วง 4 เดือนสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง ขณะที่สถิติในอดีตบ่งชี้ ดัชนี S&P500 มีแนวโน้มชะลอตัวในช่วงเดือนส.ค.- ก.ย. แนะกลยุทธ์ลงทุนในตลาดหุ้น เลือกหุ้นคุณภาพดีเติบโตสูง งบแข็งแกร่ง ยอดขายกำไรเติบโตยั่งยืนเช่น กลุ่มเทคโนโลยี พร้อมผสมผสานกับหุ้นกลุ่มที่มีความทนทานต่อภาวะตลาดผันผวน เช่น กลุ่มสาธารณูปโภค  สุขภาพ และสินค้าจำเป็น พร้อมระวังลงทุนในหุ้นกลุ่มขนาดเล็ก จากกำไรของกิจการของหุ้นขนาดเล็กค่อนข้างผันผวน และอิงกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ เป็นหลัก ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากการที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ช่วงของการชะลอตัวลง สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง-สูง แนะลงทุนหุ้นเวียดนาม จากดัชนีฯ ที่ได้แรงหนุนจากเศรษฐกิจที่เติบโตต่อเนื่อง

นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Office and Product กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า แนวโน้มการลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลกเดือน ส.ค. 2567 โดยเราเห็นสัญญาณเศรษฐกิจประเทศขนาดใหญ่ ส่งสัญญาณเติบโตชะลอตัวลง จากตลาดแรงงานและภาคการผลิตที่อ่อนตัวแรง เมื่อพิจารณารายประเทศ พบว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังขยายตัวดี GDP ไตรมาส 2/2567 เติบโต 2.8% ต่อปี เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ด้วยแรงสนับสนุนการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่แข็งแกร่ง แต่เริ่มเห็นสัญญาณความเปราะบางของเศรษฐกิจ จากยอดขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกที่พุ่งสูงเกินคาด อัตราการว่างงานเดือน ก.ค. เพิ่มขึ้น การจ้างงานนอกภาคเกษตรที่เพิ่มขึ้นต่ำกว่าคาด  และตัวเลขภาคการผลิต เดือน ก.ค. โดยสถาบันการจัดการอุปทานของสหรัฐฯ (ISM) อยู่ที่ระดับต่ำกว่า 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะหดตัวในภาคการผลิต

ส่วนเศรษฐกิจยูโรโซน ส่งสัญญาณชะลอตัว แม้ GDP ไตรมาส 2/2567 จะขยายตัว 0.6% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน มากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ที่ 0.5% แต่เศรษฐกิจเยอรมนี ซึ่งเป็นเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในยูโรโซน หดตัว 0.1% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน เพราะภาคอุตสาหกรรมถูกกดดันจากอัตราดอกเบี้ยสูง ส่วนญี่ปุ่น ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) ปรับลดคาดการณ์ GDP เหลือขยายตัว 0.6% จากเดิมที่ 0.8% และปรับลดคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) เป็น 2.5% จากเดิม 2.8% จากการที่รัฐบาลกลับมาอุดหนุนราคาพลังงานเดือนส.ค.-ต.ค. นี้   

สำหรับเศรษฐกิจจีน GDP ไตรมาสที่ 2 ขยายตัว 4.7% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ต่ำกว่าที่ตลาดคาด ส่วนภาคการผลิตในเดือน ก.ค. อาจหดตัวเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน บ่งชี้ความอ่อนแอของเศรษฐกิจ ที่กำลังเผชิญความท้าทายเชิงโครงสร้างสำคัญในภาคอสังหาริมทรัพย์และภาคการบริโภคอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ เศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่เอเชีย (Asia Emerging Market) ยังได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวในภาคเทคโนโลยี และการท่องเที่ยว โดยการส่งออกของไต้หวัน และ เกาหลีใต้ เดือน ก.ค. ยังมีแนวโน้มฟื้นตัว แม้เห็นการอ่อนตัวบ้างเมื่อเดือน มิ.ย.

ทั้งนี้ ภาพรวมตลาดการเงิน ช่วงครึ่งหลังของปี 2567 มีแนวโน้มเผชิญความผันผวนสูงขึ้น ตลาดหุ้นทั่วโลก ปรับฐาน นำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ โดยเฉพาะ เซมิคอนดักเตอร์ และหุ้นกลุ่มวัฏจักร (Cyclical) โดยเฉพาะยานยนต์ และสินค้าหรู ที่ปรับฐานรุนแรง จากความกังวลเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และการให้ประมาณการ การเติบโตของรายได้และกำไรในอนาคต (Guidance) บางบริษัทของหุ้นกลุ่มเติบโต (Growth) / Cyclical ซึ่งเป็นหุ้นกลุ่มนำตลาดก่อนหน้านี้ เริ่มส่งสัญญาณชะลอตัว ขณะที่ อัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวลงของสหรัฐฯ และตลาดแรงงานที่อ่อนตัวลงแรง สร้างความกังวลต่อโอกาสของการเกิดเศรษฐกิจถดถอย (Recession) มากขึ้น (โอกาสเกิดประมาณ 30%) นอกจากนี้ ยังมีการเปลี่ยนกลุ่มหุ้นลงทุน (Sector Rotation) ไปยังกลุ่ม Defensive เพิ่มมากขึ้น

SCB CIO มองว่า ความผันผวนของตลาดหุ้นโลกจะเพิ่มขึ้นอีกหลังจากนี้ เนื่องจากเข้าสู่โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะมีนโยบายการหาเสียงต่างๆ ซึ่งจะมีผลต่อ Sentiment ของตลาดฯ โดยจากสถิติในอดีตบ่งชี้ว่า ดัชนี VIX จะเร่งตัวขึ้นเมื่อเข้าสู่ช่วง 4 เดือนสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง ขณะที่ สถิติบนผลตอบแทนการลงทุนใน S&P500 มีแนวโน้มชะลอลงเมื่อเข้าสู่เดือน ส.ค. และเดือน ก.ย.

ขณะที่ในส่วนของกลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้น เรามองว่า Sector rotation จะยังเกิดขึ้นต่อไป โดยเราแนะนำให้ใช้กลยุทธ์ Barbell ด้วยการลงทุนในหุ้น Quality Growth ซึ่งเป็นหุ้นคุณภาพดีเติบโตสูง ที่มีงบดุลแข็งแกร่ง ยอดขายและกำไรมีการเติบโตแบบยั่งยืน เช่น กลุ่มเทคโนโลยี ผสมผสานการลงทุนในหุ้นกลุ่ม Defensive ที่กำไรมีความทนทานต่อสภาวะตลาดที่ผันผวน เช่น กลุ่มสาธารณูปโภค (Utilities) กลุ่มสุขภาพ (Healthcare) และ กลุ่มสินค้าจำเป็น (Consumer Staples) ที่อาจทำผลงานได้ดีกว่าตลาดในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) ปรับลดลง อย่างไรก็ตาม เราแนะนำให้ระมัดระวังการลงทุนในหุ้นขนาดเล็ก เนื่องจาก กำไรของกิจการของหุ้นขนาดเล็กค่อนข้างผันผวน และอิงกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ เป็นหลัก ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากการที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ช่วงของการชะลอตัวลง นอกจากนี้ หลายบริษัทในหุ้นขนาดเล็กอาจมีต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น จากปริมาณหุ้นกู้อัตราดอกเบี้ยคงที่ (Fixed Rate) ที่กำลังจะครบกำหนดชำระหลังปี 2567 เป็นต้นไป

สำหรับการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ จากข้อมูลในอดีต เราพบว่า เมื่อ Fed เริ่มลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรก จะเห็นกระแสเงินทุนของกองทุนรวม และกองทุนรวมดัชนี (ETF) ไหลออกจากกองทุนรวมตลาดเงิน (Money Market Fund : MMF) ซึ่งจากข้อมูล ณ สิ้นเดือน ก.ค. 2567 ขนาดกองทุน MMF อยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 6.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยคาดว่าเงินลงทุนนี้ ส่วนหนึ่งจะย้ายไปลงทุนในหุ้นกู้ภาคเอกชนคุณภาพสูง (Investment Grade)  

ทั้งนี้ SCB  CIO มองว่า ตราสารหนี้สหรัฐฯ ที่มีอายุเฉลี่ยประมาณ 2-4 ปี เป็นกลุ่มที่น่าสนใจลงทุน เนื่องจากคาดการณ์ว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond yield) สหรัฐฯ จะมีแนวโน้มลดลงในอนาคต โดย Bond Yield ของพันธบัตรระยะสั้น จะปรับลดลงมากกว่า ระยะยาว (Bull Steepening) ทำให้เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่เป็น Inverted Yield Curve โดยผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นสูงกว่าระยะยาว กลับมาเป็น Normal Yield Curve ที่ผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวสูงกว่าระยะสั้นตามปกติ ขณะที่ เราแนะนำให้ หลีกเลี่ยงการลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวของสหรัฐฯ ที่มีอายุเฉลี่ยตั้งแต่ 7 ปีขึ้นไป ที่มีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของผลการเลือกตั้ง หากมีการเพิ่มการใช้จ่ายทางการคลัง และขาดดุลงบประมาณมากขึ้น รวมทั้งความเสี่ยงจากการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ ที่จะทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นในอนาคต 

โดยแนวทางการจัดพอร์ตลงทุนนั้น พอร์ตลงทุนหลัก (Core Portfolio) ลงทุนระยะยาว 1 ปีขึ้นไป ควรกระจายลงทุนในสินทรัพย์เพื่อตอบโจทย์ 3 วัตถุประสงค์หลัก ได้แก่ 1) เพื่อสร้างกระแสเงิน  ให้พอร์ตมีเสถียรภาพ เน้นหุ้นกู้ Investment Grade อายุเฉลี่ยประมาณ 2-4 ปี ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือของผู้ออกตราสารที่สูง และกรณีเป็นผู้ที่มีความมั่งคั่งสูง (UHNW) สามารถเลือกลงทุนผ่านตราสารหนี้นอกตลาด (Private Credit) ที่ให้ผลตอบแทนน่าสนใจกว่าหุ้นกู้เอกชนในตลาดได้ด้วย โดยที่นักลงทุนสามารถเลือกคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดความเสี่ยงได้ เช่น มีสิทธิเรียกร้องการชำระหนี้ลำดับแรกและมีหลักประกัน เป็นต้น 2) เพื่อสร้างการเติบโต เน้นลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ด้วยกลยุทธ์การลงทุนแบบ Barbell Strategy โดยมีสัดส่วนหุ้น Quality Growth ผสมผสานกับหุ้นกลุ่ม Defensive และ 3) เพื่อป้องกันความเสี่ยงของพอร์ต ลงทุนในทองคำ ซึ่งช่วยป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ และความเสี่ยงความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ได้เป็นอย่างดี

สำหรับ ผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง-สูง แนะนำแบ่งเงินลงทุนบางส่วน ตามความเสี่ยงที่รับได้ ลงทุนระยะสั้นในพอร์ตลงทุนส่วนเสริม (Opportunistic Portfolio) ด้วย โดยเราแนะนำลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม เนื่องจาก ดัชนีฯ มีแนวโน้มได้แรงหนุนจากเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง GDP ไตรมาส 2/2567 ขยายตัว 6.9% สูงกว่าไตรมาส 1/2567 ที่ขยายตัว 5.9%  สินเชื่อช่วงครึ่งปีแรก ขยายตัว 6.0% ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เดือน ก.ค. ขยายตัว อยู่ที่ระดับ 54.7  การส่งออกเพิ่มขึ้น 19.7%  ภาคอสังหาริมทรัพย์ เริ่มฟื้นตัว ครึ่งปีแรกยอดการโอนคอนโดเพิ่มขึ้น 107%   Valuation อยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยราคากำไรต่อหุ้นในอนาคต (12M Fwd P/E) อยู่ที่ 10.5 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี และผลสำรวจความคิดเห็นนักวิเคราะห์สถาบันต่างๆ (Consensus) คาดว่า การเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) ของดัชนีฯ ในปีนี้ จะอยู่ที่ 32% เทียบปีก่อน

อย่างไรก็ตามเราแนะนำขายตลาดหุ้นจีน H-Share ตลาดหุ้นยุโรป และตลาดหุ้นเกาหลีใต้ จาก Opportunistic Portfolio เนื่องจาก จีนเผชิญความไม่แน่นอนทางการค้ากับสหรัฐฯ มากขึ้น อาจส่งผลกระทบทางลบโดยอ้อมต่อตลาดฯ ผ่าน sentiment ของนักลงทุน ที่ย่ำแย่ลง เงินหยวนที่เสี่ยงอ่อนค่าลงต่อ เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ อาจกดดันแนวโน้มกำไรของตลาด ส่วนตลาดหุ้นยุโรป แนะนำขายจากโมเมนตัมเศรษฐกิจยุโรปเริ่มเห็นสัญญาณกลับมาแผ่วลง ความเสี่ยงด้านการค้าระหว่างประเทศกับคู่ค้าสำคัญ เช่น สหรัฐฯ และจีน รวมถึง ความไม่แน่นอนการเมืองในฝรั่งเศส และข้อพิพาทการค้า ส่วนตลาดหุ้นเกาหลีใต้ แนะนำขายจาก risk sentiment ย่ำแย่ลง ความเชื่อมั่นต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกลดลง อีกทั้ง ห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศอื่นที่เกี่ยวเนื่องกันส่งสัญญาณชะลอตัว อาจกระทบประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนเกาหลีใต้ในระยะต่อไป

#SCBCIO #ข่าววันนี้ #ตลาดหุ้น #ทองคำ #ลงทุน

 

 

 

 

อุบลราชธานี แห่ซื้อทองแท่งราคา 39 บาท มอบวันแม่ 

สวนกระแสตลาดทองคำ เมื่อราคาทองคำยังแพง แต่ผู้คนอีกมุมแห่สั่งจอง เลือกซื้อทองแท่ง ส่งมอบความสุขและเป็นของขวัญให้แม่ เนื่องในวันแม่ โดยทองคำแท่งไม่มีขายที่ร้านทอง แต่มีขายเพียงที่สวนสัตว์อุบลราชธานีเท่านั้น    

ที่ สวนสัตว์อุบลราชธานี  นายทนบ ศิริปิยนาค รักษาราชการ ผู้อำนวยการสวนสัตว์อุบลราชธานี  เปิดเผยว่า  เดือนแห่งวันแม่ต้องจัดโปร สวนกระแสราคาทองคำที่ยังพุงสูง  ซึ่งหันมาเปิดร้านขายทองคำ  สะเอง  โดยสวนสัตว์อุบลราชธานีร่วมกับผู้ประกอบการร้านกาแฟในสวน  จัดกิจกรรมต้อนรับนักท่องเที่ยวจูงมือแม่เที่ยวในสวนสัตว์  ช่วงเทศกาลวันแม่แห่งชาติ  โดยจัดทำทองคำแท่องก้อนโต  คู่พวงมาลัยทองคำ  และนำใส่กล่องสีแดงวางจำหน่ายให้นักท่องเที่ยวที่เข้ามาเลือกซื้อในราคาถูกเพียงแท่งละ 39 บาท  ซึ่งเฉลี่ยเป็นน้ำหนักขนาดทองแท่งที่วางขาย  ประมาณ  5 บาท 

โดยมี น.ส นงลักษณ์  สร้อยนาค อายุ  39 ปี เจ้าของร้านกู๊ดมอร์นิ่งคอฟฟี่  ภายในสวนสัตว์อุบลราชธานี  ร่วมจัดกิจกรรมต้อนรับวันแม่และเปิดตัวคาปิบารา  สัตว์หนูน่ารัก  ร่วมกับสวนสัตว์ในชาวงวันหยุดยาวชวนลูกซื้อทองคำแท่งเป็นของขวัญให้แม่  ซึ่งทองคำที่ว่า  คือ  ขนมอาลัวทองคำแท่ง  ที่มีความเหมือนทองคำมาก   แต่กินได้ที่ทางร้านนำมา จำหน่ายในราคาพิเศษสุด ชิ้นละ  39  บาท  2  ชิ้น  75  บาท

 นอกจากนี้  เมื่ออุดหนุนกาแฟของทางร้าน  1  บิล  ต่อ  1  สิทธิ์  สามารถตรวจดวงชะตาฟรี  กับหมอดูชื่อดังระดับประเทศ  คอบบริการตรวจดูดวงชะตาชีวิตให้ฟรี  หรือ  ชวนถ่ายรูปคู่น้องคากิบาราที่สวนสัตว์อุบลราชธานีแล้วคอมเม้นท์ใต้เพจสวนสัตว์อุบลราชธานีรับส่วนลดทันที 5บาทอีกด้วย  

สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการของขวัญวันแม่  อันสวยงาม  เป็นมงคล  ต้องมาที่ร้านร้านกู๊ดมอร์นิ่งคอฟฟี่ สวนสัตว์อุบลราชธานี ระหว่างวันที่ 11 – 15 สิงหาคมนี้ เท่านั้น     

 


 

สระบุรี ทำดีได้ดี แม่บ้านเก็บทองคำหนัก 2 บาท ส่งให้ตำรวจ 1 ปี ไม่มีคนมารับ

ทำดีได้ดี แม่บ้านดวงเฮง เก็บทองคำหนัก 2 บาทได้ริมถนนส่งให้ตำรวจตามหาเจ้าของครบ 1 ปีไม่มีใครมาแสดงตนเป็นเจ้าของ ตำรวจเรียกให้คนเก็บได้มารับคืน สุดดีใจน้ำตาอาบแก้ม
       
 

วันที่ 25 กรกฎาคม 2567 ที่ สภ.เมืองสระบุรี พ.ต.อ.สุริยะ สุดกังวาล ผกก.สภ.เมืองสระบุรี พ.ต.ท.ชูเชิด อนันต์สลุง รอง ผกก.หน.งานสอบสวนฯ ร่วมเป็นสักขีพยานในการส่งมอบทรัพย์สิน (สร้อยข้อมือ/กำไลข้อมือ) ทองคำหนัก 2 บาท คืนให้กับ น.ส.ปนัดดา ศรีมันตะที่เก็บ สร้อย และกำไล ข้อมือ หนัก ชนิดละ 1 บาท รวมน้ำหนักทองคำ 2 บาท มูลค่าราว 80,000 กว่าบาท ที่เก็บได้บริเวณริมถนนพหลโยธิน ต.ปากเพรียว อ.เมือง จ.สระบุรี เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2566 ขณะที่ น.ส.ปนัดดา ขี่รถจักรยานยนต์กำลังจะไปทำงาน แต่ไม่เก็บไว้เป็นของตนเอง โดยได้ นำมาแจ้งความลงบันทึกประจำวันให้ กับ พ.ต.ท.จิรเดช กันทะสาร สว.สส.สภ.เมืองสระบุรีเจ้าหน้าที่ตำรวจประกาศตามหาเจ้าของ  เจ้าหน้าที่จึงได้ประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ ทั้งโชเชียล และช่องทางอื่นๆ เป็นเวลานานจวบจนกระทั่ง ครบ 1 ปีก็ไม่มีผู้ใดมาแสดงตนเป็นเจ้าของ เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้ง ให้ น.ส.ปนัดดา ฯ มารับทรัพย์ (ทองคำ) นั้นที่ตกเป็นของผู้เก็บได้ไปโดยปริยาย เนื่องจากว่าเป็นทรัพย์ที่เจ้าของสละทรัพย์แล้ว 
         

ด้านพ.ต.ท.ชูเชิด อนันต์สลุง รอง ผกก.หน.งานสอบสวน สภ.เมืองสระบุรี กล่าวว่า เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2566 ได้มี น.ส.ปนัดนา ศรีมันตะ อายุ 51 ปี บ้านเดิมอยู่ที่เลขที่ 26 ม.3 ต.เขาวง แขวงลำไผ่ อ.ไทยเจริญ จ.ยโสธร ปัจจุบันทำงานเป็นแม่บ้าน อยู่ที่บริษัทโชคพัฒนาพลัส ถ.บายพาสเสาไห้ อ.เมือง สระบุรี ได้เข้าพบ พ.ต.ท.จิรเดช กันทะสาร (สว.) พนักงานสอบสวน สภ.เมืองสระบุรี ว่าเมื่อ วันที่ 15 กรกฎาคม 2566 ขณะตนขี่รถจักรยสยยนต์กำลังจะไปทำงาน ได้พบกระเป๋าใส่สตางค์ (เล็ก) แบบมีซิปรูดตกอยู่เปิดดูพบว่า มีสร้อย และกำไล ข้อมืออยู่ภายในวันรุ่งขึ้น (16 ก.ค.66) จึงนำสร้อย และกำไลข้อมือ ที่พบไปให้ร้านทองในตัวเมืองสระบุรี ตรวจเช็คดูและทราบว่าเป็น ทองคำแท้ จึงมีความประสงค์ให้เจ้าหน้าที่ลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน เพื่อแจ้งประกาศหาเจ้าของที่ทำตกหล่นไว้มารับคืนไป ซึ่งต่อมา พนักงานสอบสวนก็ได้ลงประกาศประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ ทั้งโชเชียล และอื่นๆ จนกระทั่งครบเวลา 1 ปี ก็ไม่มีผู้ใดมาติดต่อหรือแสดงตนเป็นเจ้าของ พนักงานสอบสวน จึงติดต่อแจ้งให้ น.ส.ปนัดดา พลเมืองดีคนดังกล่าวมารับ ทรัพย์สินที่เก็บได้ ( สร้อยข้อมือ/กำไลข้อมือ)  ทั้ง 2 รายการ ตามสิทธิของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1323 ดังกล่าว
         

หลัง พ.ต.ท.จิรเดช กันทะสาร พนักงานสอบสวน สภ.เมืองเจ้าของสำนวน ได้ทำบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานพร้อมมอบ สร้อย/กำไล ข้อมือ หนัก 2 บาท มูลค่าราว 80,000 กว่าบาท คืนให้ น.ส.ปนัดดา ฯ พลเมืองดี ถึงกับร้องไห้ปาดน้ำตาที่อาบแก้มด้วยความดีใจ พร้อมกล่าวแสดงความขอบคุณ พ.ต.อ.สุริยะ สุดกังวาน ผกก.สภ.เมืองสระบุรี และ ผู้ใต้บังคับบัญชา ที่อำนวยความสะดวกให้ตนมารับ (สร้อยข้อมือ/กำไล) ทองคำคืน ทั้งๆที่ตนลืมไปแล้ว ที่ตนตัดสินใจ นำ(ทอง)มามอบให้ตำรวจตามหาเจ้าของหลังจากคิดอยู่ 1 วันว่าจะทำอย่างไรดี เพราะตนเข้าใจดีว่า คนเป็นเจ้าของทรัพย์สินดังกล่าว คงจะเสียใจไม่น้อยที่ทำหาย อีกทั้งสิ่งของดังกล่าว ไม่ใช่ของตน ตนจึงได้เข้าพบตำรวจให้ช่วยเหลือติดตามเจ้าของคืนให้เจ้าของเขาไปแต่ก็ไม่มีผู้ใดติดต่อมาหรือแสดงตนว่าเป็นเจ้าของแต่อย่างใด จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปเป็นปี เจ้าหน้าที่ตำรวจเห็นว่า ตนมีสิทธิในทรัพย์สินนั้นตามกฎหมายที่ระบุไว้ จึงแจ้งนัดให้ตนมารับสร้อย/กำไล ข้อมือทองคำคืน
           

น.ส.ปนัดดา พลเมืองดี ที่ทำดีแล้วมีโชคหล่นทับรายนี้ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า หรืออาจเป็นเพราะความศักดิ์สิทธิ์ของ “หลวงพ่อกวย” วัดโฆสิตาราม อ.สรรบุรี จ.ชัยนาท ที่ตนศรัทธา ดลบันดาลให้โชคตนก็เป็นได้ เพราะในวันที่ตนพบ กระเป๋าบรรจุ สร้อย/กำไล ข้อมือทองคำริมถนน นั้น ตนลืมสร้อยเชือกผ้าร่มที่มีรูปถ่ายหลวงพ่อกวย อัดกรอบพลาสติกที่ตนถอดไว้ที่บ้านจึงขี่รถย้อนกลับมา จึงได้พบเห็น สร้อย/กำไลข้อมือดังกล่าว