ครั้งแรกของวงการอสังหาฯไทย แค่อยู่บ้านเสนาก็มีแต้มเซ็นทรัล The 1 ใช้ฟรี เปลี่ยนคาร์บอนเครดิตจากหลังคาโซลาร์ให้ลูกบ้านใช้ประโยชน์ได้จริง

เสนา ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายแรกที่ติดตั้งโซลาร์เซลล์ให้บ้านทุกหลัง เดินหน้าตอกย้ำความเป็นผู้นำบ้านโซลาร์เซลล์อีกครั้ง กับปรากฏการณ์ครั้งแรกของวงการอสังหาฯ ลูกบ้านเสนาสามารถเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตครัวเรือนให้มีมูลค่า นำไปใช้เป็นส่วนลดหรือซื้อสินค้าได้จริง.... เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ ร่วมโครงการตลาดคาร์บอนครัวเรือน ภาคสมัครใจ โดยความร่วมมือระหว่างมูลนิธิพลังงานสะอาดเพื่อประชาชน (มพช.), หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.), สถาบันวิจัยพหุศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และกลุ่มเซ็นทรัล The 1 Card ในการนำคาร์บอนเครดิตครัวเรือน มาแลกเป็นคะแนน The 1 ได้ฟรี

ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เสนาให้ความสำคัญกับการสร้างและส่งมอบที่พักอาศัยให้กับลูกบ้าน ตามแนวคิดบ้านพลังงานเป็นศูนย์ (Zero Energy Housing) ซึ่งนอกจากจะสร้างบ้านที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่สะดวกสบายและอยู่อาศัยได้อย่างยั่งยืนควบคู่กันไปด้วยแล้ว ยังต้องเกิดประโยชน์ต่อทั้งตัวเจ้าของบ้านเองและส่งผลเสียต่อสภาพแวดล้อมให้น้อยที่สุด และนับเป็นโอกาสดีมากๆ ที่กลุ่มเสนาฯ ได้ร่วมโครงการตลาดคาร์บอนครัวเรือน ภาคสมัครใจ โดยความร่วมมือระหว่าง มูลนิธิพลังงานสะอาดเพื่อประชาชน (มพช.), หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.), มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ กลุ่มเซ็นทรัล The 1 Card เป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคครัวเรือน ที่สร้างปรากฏการณ์ครั้งแรกของไทย ในการนำคาร์บอนเครดิต มาใช้ให้เกิดประโยชน์อีกขั้น โดยเฉพาะภาคครัวเรือนที่สามารถจับต้องได้จริงๆ ซึ่งลูกบ้านเสนาที่ติดโซลาร์เซลล์ จะได้รับโอกาสพิเศษนี้ก่อนใคร ง่ายๆ เพียงสมัครเข้าร่วมโครงการฯ ปริมาณคาร์บอนเครดิตที่เกิดขึ้นจะสามารถนำไปแลกคะแนนเพื่อใช้เป็นส่วนลดหรือซื้อของต่อไปได้แบบฟรีๆ เช่น ลูกบ้านที่ติดตั้งโซลาร์ 5kw คาร์บอนเครดิตที่เกิดขึ้นจะถูกคำนวณโดยอัตโนมัติ และเปลี่ยนเป็นคะแนน The 1 ได้ราว 600 คะแนนต่อเดือน หรือประมาณ 7,200 คะแนนต่อปี 

ทั้งนี้ ต้องขอขอบคุณโครงการดีๆ ที่ให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานสะอาด เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมในการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง  ซึ่งสอดคล้องกับความมุ่งมั่นในการพัฒนาและคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ด้านการใช้พลังงานทดแทนที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของลูกบ้านของเสนา รวมถึงเป้าหมายการลดคาร์บอนขององค์กร เช่น แนวคิดบ้านพลังงานเป็นศูนย์ (Zero Energy Housing) ที่สามารถประหยัดการใช้ไฟฟ้าของลูกบ้านได้สูงสุดถึง 38% และการส่งเสริม Decarbonized Lifestyle ให้ลูกบ้านสามารถใช้ชีวิตรักษ์โลกได้ง่ายๆ เพียงเลือกอยู่กับเสนา ปัจจุบันเสนาติดตั้งโซลาร์รูฟให้กับลูกบ้าน ทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมแล้วทั้งหมดทุกโครงการรวมกว่า 1,000 หลัง   โดยในปีนี้ตั้งเป้าลดการปล่อยคาร์บอนได้ไม่ต่ำกว่า 19,800 ตันคาร์บอน หรือเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้มากกว่า 1,984,800 ต้นอีกด้วย

สำหรับลูกบ้านเสนาที่สนใจ สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้ที่ https://url.in.th/nzjbJ และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายบริการลูกค้าสัมพันธ์ โทร 1775 หรือ ติดตามข้อมูลข่าวสารอื่นๆ ของ เสนาดีเวลลอปเม้นท์ ได้ที่ www.sena.co.th ,  www.facebook.com/senadevelopmentpcl 

#ข่าววันนี้ #อสังหา #คาร์บอนเครดิต #หลังคาโซลาร์ #เสนา

 

กวก.ลุยขอรับรองคาร์บอนเครดิตผลิตพืช มุ่งสู่เศรษฐกิจสังคมคาร์บอนต่ำยั่งยืน

จากสภาวะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีผลกระทบรุนแรงมากขึ้นในปัจจุบัน ส่วนหนึ่งเกิดจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคส่วนต่างๆ ในปี ค.ศ.2015 ได้มีการประชุมเจรจาข้อตกลงด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่เรียกว่า ข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) ว่าด้วยการรักษาค่าอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้เพิ่มขึ้น ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส และพยายามไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งจากการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ COP26 ในปี ค.ศ. 2021 ประเทศไทยได้ประกาศเจตจำนงยกระดับการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ ด้วยการกำหนดเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ปี ค.ศ. 2050 (พ.ศ. 2593) และมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี ค.ศ. 2065 (พ.ศ. 2608) ซึ่งภาคการเกษตรได้มีการบรรจุอยู่ในเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศ

นายรพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ได้เล็งเห็นว่ากรมวิชาการเกษตรซึ่งเป็นหน่วยงานภาครัฐภายใต้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่มีภารกิจเกี่ยวกับพืช ทั้งทางด้านศึกษาวิจัยและถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง จึงได้กำหนดพันธกิจให้ครอบคลุมแนวนโยบายดังกล่าว ด้วยการ สนับสนุนการขับเคลื่อนการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย มุ่งสู่เศรษฐกิจสังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน และจัดตั้ง กองวิจัยพัฒนาพืชเศรษฐกิจใหม่และการจัดการก๊าซเรือนกระจกสำหรับภาคเกษตร เมื่อเดือนมิถุนายน 2566 โดยมี ดร.สมคิด ดำน้อย เป็น ผู้อำนวยการกองฯ และหนึ่งในกลไกที่เป็นแรงจูงใจเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญคือ คาร์บอนเครดิต ทั้งนี้กระบวนการเพื่อให้ได้มาของคาร์บอนเครดิตจนสามารถซื้อขายได้ในตลาดโดยเฉพาะในภาคเกษตรตามหลักเกณฑ์หรือมาตรฐานค่อนข้างยุ่งยาก กรมวิชาการเกษตรจึงได้ผลักดันการดำเนินงานพัฒนาการจัดการเพื่อขอรับรองคาร์บอนเครดิตจากการผลิตพืช ด้วยการศึกษาค่าฐานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินงานปกติ (Business as usual) และจัดทำแนวทางเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ส่วนต่างสำหรับขอรับรองคาร์บอนเครดิต โดยยึดหลักข้อกำหนดวิธีการ ตามกรอบ โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานประเทศไทย (T-VER) ขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.)

จากการดำเนินงานในพืชเศรษฐกิจหลัก 6 ชนิด ประกอบ มันสำปะหลัง อ้อย ปาล์มน้ำมัน ยางพารา ทุเรียน และมะม่วง โดยใช้พื้นที่ต้นแบบในศูนย์วิจัยของกรมวิชาการเกษตร ที่มี ดร.ธีรวุฒิ ชุตินันทกุล ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยก๊าซเรือนกระจกสำหรับภาคเกษตร กองวิจัยพัฒนาพืชเศรษฐกิจใหม่และการจัดการก๊าซเรือนกระจกสำหรับภาคเกษตร เป็นหัวหน้าโครงการ ดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของกรมวิชาการเกษตร ประกอบด้วย สถาบันวิจัยพืชไร่และพืชทดแทนพลังงาน สถาบันวิจัยพืชสวน กองการยาง และ กองพัฒนาระบบและพัฒนามาตรฐานสินค้าพืช ได้มีการพัฒนาโครงการ T-VER โดยการจัดทำเอกสารข้อเสนอโครงการ (PDD) ตามข้อกำหนดของ อบก. ซึ่งเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาได้เริ่ม ให้ผู้ประเมินภายนอกฯ (VVB) เข้าตรวจสอบความใช้ได้ (Validation) ของโครงการมันสำปะหลัง ซึ่งพัฒนาโดยศูนย์วิจัยพืชไร่ระยอง แล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างปรับแก้ข้อเสนอโครงการให้สอดคล้องตามข้อกำหนด และตามคำแนะนำของผู้ประเมิน และอีก 5 ชนิดพืชที่เหลือ จะดำเนินการเพื่อขอรับการตรวจสอบความใช้ได้ในลำดับถัด ๆ

ดร.ธีรวุฒิ ชุตินันทกุล กล่าวว่า การพัฒนาโครงการในพืชเศรษฐกิจหลัก ที่กรมวิชาการเกษตรดำเนินการถือเป็นโครงการแรก ๆ สำหรับภาคเกษตร ซึ่งค่อนข้างมีรายละเอียดและมีความซับซ้อนจากกระบวนการผลิตพืช รวมถึงต้องมีหลักฐานและการบันทึกข้อมูลเพื่อแสดงในเชิงประจักษ์สำหรับยืนยันถึงการดำเนินงานที่ผ่านมา และการดำเนินงานเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในพื้นที่ที่จะขอรับรองคาร์บอนเครดิตดังกล่าว ซึ่งอาจจะเป็นการยากหากเกษตรกรรายย่อยจะดำเนินการเอง อาจต้องรวมกลุ่มของเกษตรกรและมีหน่วยงานหรือองค์กรภายนอกเข้าช่วยพัฒนาโครงการ

นอกจากนี้ในกระบวนการขอรับรองคาร์บอนเครดิตจะมีในส่วนของค่าใช้จ่ายสำหรับจ้างผู้ตรวจประเมินฯ (VVB) สำหรับตรวจสอบความใช้ได้ การทวนสอบ (Verification) และที่ปรึกษาในการพัฒนาโครงการ ที่ค่อนข้างสูง ทางนายรพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร จึงได้มีแนวทางในการพัฒนาบุคลากรของกรมวิชาการเกษตรเพื่อเป็นผู้ตรวจประเมินฯ (VVB) โดยการส่งเจ้าหน้าที่ของกรมวิชาการเกษตรเข้าร่วมอบรมในหลักสูตรที่เกี่ยวข้อง ของ อบก. ซึ่งในปัจจุบัน กรมวิชาการเกษตรมีเจ้าหน้าที่ที่ผ่านการอบรมหลักสูตร VVB แล้ว จำนวน 21 คน พร้อมนี้เพื่อให้กรมวิชาการเกษตรเป็นหน่วยตรวจรับรองเองได้ จึงต้องเตรียมหน่วยงานเพื่อขอรับรองระบบ ISO 14065 จาก สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งคาดว่าน่าจะสามารถรับรองได้ภายในปีนี้ โดยทางกรมวิชาการเกษตรจะสามารถเป็นที่ปรึกษาในการพัฒนา หรือ ตรวจประเมินโครงการภายใต้กรอบของ T-VER ตามข้อกำหนดของ อบก. ต่อไป ดร.ธีรวุฒิ กล่าวเสริม

ทั้งนี้ เกษตรกรหรือผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กองวิจัยพัฒนาพืชเศรษฐกิจใหม่และการจัดการก๊าซเรือนกระจกสำหรับภาคเกษตร ที่หมายเลข 02-5790151-7

อบจ.ระยอง'ชูวิสัยทัศน์บริหารจัดการคาร์บอนเครดิต มุ่งเป้าหมาย "เมืองแห่งอนาคต"

อบจ.ระยอง'ชูวิสัยทัศน์บริหารจัดการคาร์บอนเครดิต มุ่งเป้าหมาย "เมืองแห่งอนาคต" เดินหน้าผลักดันการพัฒนาเมืองระยองไปสู่เมืองแห่งอนาคต เพื่อตอบโจทย์แผนพัฒนาเมืองร่วมกับ EEC สร้างโอกาสในการลงทุนสีเขียวให้กับองค์กร Green Finance เน้นพื้นที่นำร่องในภาคการท่องเที่ยว ภาคอุตสาหกรรม ภาคการเกษตรและป่าไม้

วันที่ 13 พ.ค.67 ที่ห้องประชุมสร้อยทอง โรงแรมโกลเด้นซิตี้ อ.เมือง จ.ระยองอบจ.ระยองร่วมกับมหาวิทยาลัยบูรพา จัด การประชุมประชาสัมพันธ์ถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการพัฒนาส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างยั่งยืนด้วยคาร์บอนเครดิต ด้วยคาร์บอนเครดิต มีนายปิยะ ปิตุเตชะ นายกอบจ.ระยอง ให้เกียรติเป็นประธานเปิดฯ โดยมีนายกิตติ เกียรติมนตรี รองนายก อบจ.ระยอง นายประสานต์ พฤกษาชาติ รองนายก อบจ.ระยอง ดร.คณิศ แสงสุพรรณ ที่ปรึกษากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดร.ธัชพล กาญจนกูล รองเลขาธิการ สายงานนโยบายและแผนสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ดร.กฤษนัยย์ เจริญจิตตร นักวิชาการอิสระ นายโชติชัย บัวดิษ นายกสมาคมการค้าท่องเที่ยวเชิงเกษตรเพื่อสุขภาพโดยชุมชนจังหวัดระยองนายภุชงค์ สฤษฎีชัยกุล  ผอ.สบทช.1 ดร.กนกวรรณ เบญจาทิกุล ส.อบจ.ระยอง คณะผู้บริหารผู้ภาครัฐ  ภาคเอกชน ปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคประชาชนเข้าร่วมงาน

นายปิยะ ปิตุเตชะ นายกอบจ.ระยอง เปิดเผยว่า จังหวัดระยองมีแผนงานและพัฒนาเมืองระยองมาอย่างต่อเนื่องไปพร้อมกับ EEC รวมถึงภาคส่วนต่างๆ ทั้งรัฐและเอกชน โดยขณะนี้ได้มีการศึกษาในโครงการศึกษาความเป็นไปได้ในการส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างยั่งยืนด้วยคาร์บอนเครดิตซึ่งเป็นโครงการที่มีการวางแผนงานมาล่วงหน้าประมาณ 2 ปีแล้ว เพราะทีมผู้บริหารและคณะทำงานของอบจ.ระยอง เห็นถึงความสำคัญของวิกฤติโลกร้อน ซึ่งปัจจุบันจะรุนแรงถึงขั้นโลกเดือด อบจ.ระยองมิได้นิ่งนอนใจเพราะจังหวัดระยอง ทั้งเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรม-การท่องเที่ยว และการทำเกษตร-ป่าไม้ เราจึงต้องเตรียมแผนรองรับการหลั่งไหลเข้ามาของประชากรในทุกๆ มิติ

นายปิยะ ปิตุเตชะ นายกอบจ.ระยอง ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า สภาพของอากาศที่เปลี่ยนแปลงไม่ใช่เรื่องไกลตัว ภาวะโลกร้อน ควรเป็นความรับผิดชอบของประชาคมโลก และเราต้องเริ่มลดการปลดปล่อยคาร์บอนในชีวิตประจำวัน ซึ่ง อบจ.ระยอง ได้ดำเนินการจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของหน่วยงาน และดำเนินการจัดตั้งศูนย์ที่ปรึกษาคาร์บอนเครดิตส่วนท้องถิ่น ซึ่งร่วมมือกับสถาบันการศึกษา หน่วยงานภาครัฐ เพื่อผลักดันหน่วยงานต่างๆในพื้นที่ และการบริกรประชาชน อย่างเป็นรูปธรรม อีกทั้ง เราได้มีความร่วมมือกับบริษัทผู้ผลิตรถไฟฟ้า ในการส่งเสริมให้ลดการใช้พสังงานและลดการปล่อยคาร์บอนจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงในระยะยาว รวมทั้ง องค์กรต่างๆ ในจังหวัดระยองก็เริ่มตื่นตัวในการลดการใช้ทรัพยากร รู้คุณค่าในการใช้พลังงาน การประหยัดงบประมาณรายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานไฟฟ้า น้ำมันเชื้อเพลิง และน้ำประปา การใช้พลังงานอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อตนเองและส่วนรวม รวมถึงช่วยลดปัญหาที่มีผลต่อสิ่งแวดล้อมและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อนำไปสู่การมีส่วนร่วมในการช่วยลดก๊าซเรือนกระจกจากสภาวะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและทำให้จังหวัดระยองเป็นถิ่นอาศัย สิ่งแวดล้อมที่ดีเยี่ยมที่สามารถรองรับผู้คนและการเติบโตของเมืองในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ด้าน ดร.ปัทมา พอดี อาจารย์ประจำ มหาวิทยาลัยบูรพา ในฐานะหัวหน้าโครงการฯ กล่าวถึงการศึกษาวิจัยครั้งนี้ว่า การศึกษาตังกล่าวมีประโยชน์และสร้างคุณค่า เพราะนำมาใช้ใด้จริงในการพัฒนาแผนงานขององค์การบริหารส่วนจังหวัดระยองในระยะยาว คณะที่ปรึกษาได้ลงพื้นที่และประยุกต์วิทยาการและเทคโนโลยีนำสมัย ได้แก่ เทคโนโลยีอวกาศ ภูมิสารสนเทศและดาวเทียม ในการสำรวจ จัดทำฐานข้อมูลภูมิสารสนเทศ โดยศึกษาและลงพื้นที่ในการเก็บข้อมูล ณ พื้นที่นำร่อง (Pilot Study) เกาะเสม็ด สวนประยูร ซึ่งเป็นแหล่งเกษตรกรรมในการปลูกทุเรียน และบริษัท อุตสาหกรรมน้ำปลาระยอง จำกัด เพื่อเตรียมความพร้อมในการขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิตตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) และมีการจัดทำคาร์บอนฟุตปริ้นองค์กร (CFO) โดยลงพื้นที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง เพื่อตอบโจทย์ตามมาตรฐานสากล ที่มุ่งเน้นใน4 ด้าน คือการจัดการความยั่งยืน ความยั่งยืนต้านสังคมและเศรษฐกิจ ความยั่งยืนด้านวัฒนธรรม และความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงการตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) ซึ่งเชื่อมโยงกับความสอดคล้องกับอัตลักษณ์ของจังหวัดระยอง อาทิ การท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์(Ecotourism) การท่องเที่ยวเชิงชุมชน (Community based tourism) และท่องเที่ยวเพื่อนันทนาการ (Recreational Attraction)

การจัดการประชุมในครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์ในการบริหารจัดการสภาพภูมิอากาศของจังหวัดระยองและนำไปสู่การพัฒนาเมืองน่าอยู่ในอนาคต ขับเคลื่อนองค์กรสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) การบริหารจัดการคาร์บอนเครดิตจึงมีมูลค่าและมีประโยชน์ทั้งระยะสั้นและระยะยาว กล่าวคือ ระยะสั้น คาร์บอนเครดิต จะเป็นมาตรการที่กระตุ้นให้ภาคธุรกิจและครัวเรือนหันมาเห็นความสำคัญของการลดการปล่อยก๊ซเรือนกระจก ในระยะยาวนั้นภาคธุรกิจจะเกิดการขยายการลงทุนไปสู่ธุรกิจสีเขียว หรือธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนซึ่งจะเป็นเมกะเทรนด์ในอนาคต เช่น เทคโนโลยีพลังงานสะอาด พลังงานทดแทน พลังงานหมุนเวียน เป็นต้น

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม คณะที่ปรึกษาโครงการศึกษาความเป็นไปได้ในการส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างยั่งยืนด้วยคาร์บอนเครดิตดร.ปัทมา พอดี หัวหน้าโครงการ email : pattamap@go.buu.ac.th

กรมชล ฯ ร่วม Thaicid ขยายพื้นที่ทำนา "เปียกสลับแห้ง" ชูขาย "คาร์บอนเครดิต"

กรมชล ฯ ร่วม Thaicid เตรียมขยายพื้นที่ทำนา ข้าวแบบเปียกสลับแห้ง ชูขาย “คาร์บอนเครดิต” สร้างรายได้เสริม

วันที่ 9 เม.ย.67 ที่ห้องประชุมสำนักงานชลประทานที่ 12 จังหวัดชัยนาท ดร.วัชระ เสือดี ผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิศวกรรมชลประทาน (ด้านบำรุงรักษา) ได้รับมอบหมายจากอธิบดีกรมชลประทาน (ประธาน Thaicid) ให้เป็นประธานการประชุมแนวทางการขยายพื้นที่การทำนาเปียกสลับแห้งและขายคาร์บอนเครดิตในนาข้าวอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านทางระบบ Zoom Meeting ID ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมี นายเดช เล็กวิชัย รองอธิบดีกรมชลประทาน นายครองศักดิ์ สงรักษา รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร นายรองเพชร บุญช่วยดี รองผู้อำนวยการองค์การบริหารก๊าซเรือนกระจก พร้อมด้วย นายวัชระ ไกรสัย ผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 12 รศ.ดร.วราวุธ วุฒิวณิชย์ ที่ปรึกษาโครงการ Water Ordering และหัวหน้าโครงการวิจัยการประยุกต์ใช้ IrriSAT และ IWASAM ผศ.ดร.พงษ์ศักดิ์ สุทธินนท์ หัวหน้าโครงการวิจัยการประเมิน GDP โครงการชลประทาน นายบุญฤทธิ์ หอมจันทร์ รองประธานกลุ่มผู้ใช้น้ำชลประทาน ฝั่งซ้ายสามัคคี โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาบรมธาตุ ประธาน JMC โครงการฯ กระเสียวและผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมและบรรยายแนวทางการดำเนินงาน ตลอดจนนำคณะลงพื้นที่แปลงนาจุดทำการวิจัยฯ และขยายผล ตามนโยบายประธานคณะแก้ไขปัญหาภัยแล้งน้ำท่วมซ้ำซาก (ผศ.ดร.สิตางศุ์ พิลัยหล้า)ในครั้งนี้ด้วย 

นายเดช เล็กวิชัย รองอธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า กรมชลประทาน เตรียมขยายผลการทำนาแบบใช้น้ำน้อยหรือ"การทำนาแบบเปียกสลับแห้ง' ซึ่งเป็นผลงานที่กรมชลประทาน ได้วิจัยและนำเสนอต่อที่ประชุมชลประทานโลกครั้งที่ 2 และได้รับรางวัล WatSave Awards ในปี 2559 นำไปสู่เป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของไทยและของโลก โดยแนวทางการส่งเสริมการทำนาเปียกสลับแห้งเป็นการประหยัดน้ำและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตามนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่นำแนวคิดโมเดลเศรษฐกิจ BCG มาใช้เป็นหลักสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาภาคการเกษตร โดยนำเอาความรู้และความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาพัฒนาต่อยอด เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มกับทรัพยากรชีวภาพและผลผลิตทางการเกษตร หรือที่เรียกว่า "ทำน้อย แต่ได้มาก" ทำให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้งยังสามารถลดการใช้น้ำ ลดต้นทุนการผลิต สร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้นให้แก่เกษตรกรได้อีกด้วย

 EA เริ่มส่งมอบคาร์บอนเครดิตแก่สวิตเซอร์แลนด์จากโครงการ E-Bus ในพื้นที่ กทม.ภายใต้ข้อตกลงปารีส Article 6.2

บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ได้เริ่มส่งมอบคาร์บอนเครดิตจากโครงการ “รถโดยสารประจำทางไฟฟ้าในพื้นที่กรุงเทพมหานคร” (“Bangkok E-Bus Programme”) ซึ่งเป็นโครงการซื้อขายคาร์บอนเครดิตระหว่างประเทศโครงการแรกของโลกที่มีการซื้อขายกันเกิดขึ้น ภายใต้ความตกลงปารีส Article 6.2  ซึ่งเป็นการร่วมมือกันระหว่างไทย-สวิตเซอร์แลนด์ ผ่านกรอบความร่วมมือกันระหว่างประเทศที่มีการระบุชัดเจนว่าจะต้องเป็นโครงการการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจที่อยู่นอกเหนือจากแผนการดำเนินงานของประเทศ (Nationally Determined Contributions : NDC) มีการปฏิบัติตรงตามมาตรฐานด้านคุณภาพต่อสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน โดยมี Klik Foundation เป็นผู้ซื้อ Carbon Credit ที่เกิดขึ้นและนำ Carbon Credit ดังกล่าวไปลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ตามเป้าหมายที่ได้วางไว้

นายฉัตรพล ศรีประทุม ผู้อำนวยการโครงการกลยุทธ์ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการพัฒนาอย่างยั่งยืน บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า โครงการแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตภายใต้ข้อตกลงปารีส 6.2 ซึ่งรถโดยสารประจำทาง EV นี้เป็นโครงการอันดับแรกๆ ของโลกที่มีการแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตสำเร็จ โดยทาง EA มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในการส่งเสริมความร่วมมือกันระหว่างประเทศในด้านการรักษาสิ่งแวดล้อม การเดินหน้าของโครงการดังกล่าวจะเป็นการสนับสนุนให้เราก้าวเข้าสู่สังคม เศรษฐกิจแบบปลอดคาร์บอนฯ  อีกทั้งสามารถเข้าถึงเงินทุนระหว่างประเทศเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และช่วยเป็นแรงกระตุ้นที่ดีสำหรับภาคเอกชนในการพัฒนาโครงการที่ช่วยรักษาและปกป้องสิ่งแวดล้อม

Mr.Michael Brennwald Head International, Klik Foundation กล่าวว่า โครงการแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตภายใต้ความตกลงปารีส ของรถโดยสารประจำทาง EV นี้ เป็นโครงการนำร่อง เพื่อการสนับสนุนกิจกรรมการรักษาสิ่งแวดล้อมแบบยั่งยืน การแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตภายใต้ข้อตกลงปารีส 6.2 นั้น มีการร่วมกันพัฒนามาอย่างแข็งขันจากทุกภาคส่วน นอกจากนี้ยังมองหาโอกาสในการร่วมมือกับภาคเอกชนในประเทศไทยและประเทศข้างเคียง เพื่อที่จะสร้างโครงการในการร่วมมือกันระหว่างประเทศกับสวิตเซอร์แลนด์

ทั้งนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของทั้งประเทศไทยและประเทศสวิตเซอร์แลนด์ได้มีการลงนามในความร่วมมือระหว่างประเทศภายใต้ความตกลงปารีส 6.2 เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2565 โดยสัญญาแบบทวิภาคีกำหนดกรอบความร่วมมือกันระหว่างทั้งสองประเทศและสร้างแนวทางสำหรับการพัฒนาโครงการเพื่อสิ่งแวดล้อม เพื่อจัดทำกรอบความร่วมมือโดยสมัครใจสำหรับการถ่ายโอนผลการลดก๊าซเรือนกระจกระหว่างประเทศและเป็นส่วนสำคัญในการเร่งให้เกิดการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำในประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป

 

#EA #คาร์บอนเครดิต #รถโดยสารประจำทางไฟฟ้า

 

TMI ปักหมุดขาย "คาร์บอนเครดิต" ต.ค.นี้ ดันรายได้-กำไรโตโดดเด่น

นายธีระชัย ประสิทธิ์รัตนพร ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ธีระมงคล อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ TMI ผู้ประกอบธุรกิจออกแบบ ผลิต และจัดจำหน่ายอุปกรณ์ไฟฟ้าส่องสว่าง และธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีความพร้อมในการลงทุนในธุรกิจขายคาร์บอนเครดิต หลังจากโรงไฟฟ้าชีวภาพ แห่งที่ 3 จังหวัดสุพรรณบุรี ขนาดกำลังผลิต 3 เมกะวัตต์ เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ตั้งแต่วันที่ 14 พฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา โดยปัจจุบันมีกำลังผลิตกว่า 90% ของกำลังการผลิตติดตั้ง นับเป็นโรงไฟฟ้าที่เป็นแหล่งพลังงานที่สะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีความสามารถในการบริหารจัดการเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งสถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Environmental Research Institute Chulalongkorn University) ประเมินผลตามมาตรฐาน Gold Standard ได้คำนวณการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ อยู่ที่  92,000 ตันต่อปี

ทั้งนี้ TMI ได้กำหนดยุทธศาสตร์แผนธุรกิจครึ่งปีหลัง ยกเรื่องคาร์บอนเครดิตเป็นวาระเร่งด่วน เนื่องจากคณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission หรือ EU) มีมาตรการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ "Net Zero" ในปี 2050 โดยบรรลุข้อตกลงมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism หรือ CBAM) กำหนดอัตราภาษีธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Carbon Tax) ที่นำเข้ามาในกลุ่มประเทศ EU เพื่อเร่งให้ประเทศคู่ค้าของ EU ลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจัง โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 ทำให้ TMI ได้รับอานิสงส์จากข้อตกลงดังกล่าว ซึ่งขณะนี้รอการบังคับใช้ โดยจะทำให้ผู้ประกอบการที่อยู่ในประเทศที่เป็นคู่ค้ากับ EU ต้องซื้อคาร์บอนเครดิต เพื่อไปชดเชยอัตราภาษีธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ส่งผลทำให้ความต้องการในการซื้อคาร์บอนเครดิตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและมีราคาสูงตามไปด้วย

นายธีระชัย กล่าวอีกว่า ปัจจุบัน TMI ได้เปิดรับการเจรจากับกองทุนต่างประเทศ ทั้งจากประเทศสิงคโปร์ ญี่ปุ่น และยุโรป เพื่อขายคาร์บอนเครดิต ที่มี 92,000 ตัน เบื้องต้นมีหลายกองทุนสนใจและต้องการซื้อ เพราะเป็นข้อกำหนดของกองทุนว่าจะต้องมีการลงทุนในบริษัทที่มีการขายคาร์บอนเครดิตตามมาตรฐานกองทุนโลก คาดว่าภายในไตรมาส 4/2566 น่าจะเซ็นสัญญาขายคาร์บอนเครดิตได้ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาตกลงราคา โดยช่วงนี้จะขายเป็นสัญญาระยะสั้น 1-2 ปี หลังจากนั้นค่อยเซ็นสัญญาระยะยาว

"TMI พร้อมเปิดกว้างที่จะซื้อขายโดยตรงกับบริษัทที่มีความจำเป็นต้องใช้คาร์บอนเครดิต เพื่อไปชดเชย Carbon TAX หากตกลงราคากันได้ ก็พร้อมขายทันที โดยขอยกตัวอย่าง Carbon TAX ที่สิงคโปร์ ราคาซื้อขายอยู่ที่ 60 ดอลลาร์สหรัฐ/หน่วย ถ้าเราขายได้ที่ราคา 60 ดอลลาร์สหรัฐ ก็จะมีรายได้เกือบ 200 ล้าน ส่วนในยุโรป ราคาประมาณ 30-50 ยูโร/หน่วย หากเราขายคาร์บอนเครดิตได้ทั้งหมดตามที่มี จะส่งผลดีต่อรายได้และกำไรของบริษัทฯ อย่างมีนัยสำคัญ"

สำหรับในปี 2567 บริษัทฯ พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจสีเขียวอย่างต่อเนื่อง โดยจะผลักดันให้โรงไฟฟ้าก๊าซชีวภาพของบริษัทฯ อีก 2 แห่ง ได้แก่ โรงไฟฟ้าก๊าซชีวภาพ กำลังการผลิต 1.4 เมกะวัตต์ จังหวัดชุมพร และโรงไฟฟ้าก๊าซชีวภาพ กำลังการผลิต 1 เมกะวัตต์ อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร ให้สามารถขายคาร์บอนเครดิตได้  ซึ่งเมื่อรวมกับโรงที่ 3 จะขายคาร์บอนเครติดได้ประมาณ 13,000-15,000 ตันต่อปี ภายในปลายปี 2567 และเตรียมแผนขยายโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซชีวภาพแห่งใหม่ ขนาดกำลังการผลิต 3-5 เมกะวัตต์ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต

TGE เดินหน้านำโรงไฟฟ้าชีวมวล TBP อีกแห่ง คว้าใบรับรองลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก ขยายฐานธุรกิจจำหน่ายคาร์บอนเครดิตเสริมรายได้

บมจ.ท่าฉาง กรีน เอ็นเนอร์ยี่ หรือ TGE นำโรงไฟฟ้าชีวมวล TBP กำลังการผลิต 9.9 MW คว้าใบรับรองคาร์บอนเครดิต จำนวน 88,581 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก ตอกย้ำนโยบายด้าน ESG และเสริมรายได้ในอนาคต รอพิจารณาช่วงเวลาที่เหมาะสมเพื่อนำคาร์บอนเครดิตจำหน่ายผ่าน Carbon Markets Club   

นายพงศ์นรินทร์ วนสุวรรณกุล ประธานกรรมการบริหาร TGE บริษัท ท่าฉาง กรีน เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ TGE เปิดเผยว่า จากกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจมุ่งขยายช่องทางสร้างรายได้เพื่อการเติบโตควบคู่กับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม สังคมและการกำกับดูแลกิจการที่ดี (ESG) บริษัทฯ จึงนำโรงไฟฟ้าชีวมวลที่ผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) แล้ว ขอขึ้นทะเบียนเพื่อรับรองปริมาณก๊าซเรือนกระจก (คาร์บอนเครดิต) จากโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทยแบบมาตรฐาน (Standard T-VER) โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 2 มิ.ย.66 โรงไฟฟ้าชีวมวล ท่าฉาง ไบโอเพาเวอร์ (TBP) ในกลุ่มบริษัทฯ ตั้งอยู่ในอำเภอท่าฉาง จ.สุราษฎร์ธานี มีกำลังการผลิตติดตั้ง 9.9 เมกะวัตต์ (MW) ได้รับพิจารณารับรองปริมาณก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) หรือ TGO โดยมีปริมาณคาร์บอนเครดิตที่ได้รับการรับรอง 88,581 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2eq) ในช่วงระยะเวลาคำนวณเครดิตของโครงการ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.65-28 ก.พ.66  

โดยโรงไฟฟ้า TBP นับเป็นโรงไฟฟ้าแห่งที่ 2 ของกลุ่มบริษัทฯ ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนรับรองคาร์บอนเครดิตต่อจากโรงไฟฟ้าชีวมวล ท่าฉาง พาวเวอร์ กรีน (TPG) จังหวัดสุราษฎร์ธานี กำลังการผลิตติดตั้ง 9.9 MW โดยมีปริมาณคาร์บอนเครดิตที่ได้รับการรับรองจำนวน 33,964 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2eq) ในช่วงระยะเวลาคำนวณเครดิตของโครงการ ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.64-31 ก.ค.65 ซึ่งจะส่งผลดีต่อบริษัทให้สามารถนำคาร์บอนเครดิตไปจำหน่ายผ่าน Carbon Markets Club ที่เป็นศูนย์กลางการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในประเทศไทย โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างพิจารณาช่วงเวลาที่เหมาะสม เนื่องจากราคาซื้อขายคาร์บอนเครดิตอยู่ในเทรนด์ขาขึ้นและมีโอกาสเพิ่มขึ้นได้อีกในอนาคต  

“ถือเป็นอีกก้าวของการขยายธุรกิจการจำหน่ายคาร์บอนเครดิต หลังจากโรงไฟฟ้าชีวมวล 2 แห่งของกลุ่มบริษัทฯ ได้รับการรับรองคาร์บอนเครดิตแล้ว โดยเป็นอีกหนึ่งช่องทางสร้างรายได้ใหม่ ภายใต้ความมุ่งมั่นในการมีส่วนร่วมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อร่วมลดภาวะโลกร้อนและสร้างความยั่งยืนแก่สังคม”นายพงศ์นรินทร์กล่าว  

"WAVE BCG" จับมือ "เอวา ฟาร์ม 888" ดันโปรเจคใหญ่ ปลูกป่าสร้างคาร์บอนเครดิต

“เวฟ บีซีจี” ผนึกกำลัง “เอวา ฟาร์ม 888” ผุดโปรเจคใหญ่ เซ็นเอ็มโอยู ดำเนินโครงการปลูกต้นไม้สร้างคาร์บอนเครดิตในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เผย”ซิลเวอร์โอ๊ค” ที่ปลูกในไทยช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่าต้นสัก 5-7 เท่าเหมาะเป็นพืชเศรษฐกิจที่ดี

นายเจมส์ แอนดริว มอร์ ประธานกรรมการ บริษัท เวฟ บีซีจี จำกัด หรือ WAVE BCG พร้อมด้วย นายสมิทร เหลี่ยมมณี ผู้อำนวยการโครงการปลูกต้นไม้เพื่อคาร์บอนเครดิต เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน ที่ผ่านมา ได้มีการลงนามความร่วมมือ (MOU) กับห้างหุ้นส่วนจำกัด เอวาฟาร์ม 888  หรือ Ava Farm 888 ซึ่งเป็นผู้นำด้านการจัดจำหน่ายพันธุ์ต้นไม้ซิลเวอร์โอ๊ค โกลเด้นโอ๊ครายใหญ่ของประเทศไทย มีจุดประสงค์เพื่อดำเนินโครงการการปลูกต้นไม้เพื่อคาร์บอนเครดิตในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

โดยทั้งสองบริษัทได้ดำเนินการค้นคว้าและวิจัยร่วมกัน โดย Ava Farm 888 เป็นผู้ดำเนินการนำเข้าเมล็ดพันธุ์ ขยายพันธุ์ และจัดจำหน่ายต้นซิลเวอร์โอ๊คให้กับ WAVE BCG  จากการร่วมมือในการวิจัยพบว่าต้นซิลเวอร์โอ๊คที่ปลูกในประเทศไทยสามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่าต้นสักทั่วไปในไทย 5-7 เท่า ซึ่งเป็นต้นไม้ที่ WAVE BCG ตั้งเป้าให้เป็นต้นไม้เพื่อเศรษฐกิจให้กับเกษตรกรพืชสวนและพืชไร่ เพื่อสร้างรายได้จากคาร์บอนเครดิตด้วยเช่นกัน

นายเจมส์กล่าวอีกว่า WAVE BCG ได้เดินหน้าโครงการและกิจกรรมต่างๆเพื่อตอบสนองต่อนโยบายประเทศไทยที่ตั้งเป้าคาร์บอนเป็นศูนย์ที่ปี 2050 และก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ ปี 2065 โดยโครงการปลูกต้นซิลเวอร์โอ๊คนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ ซึ่งสามารถช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศโดยวิธีการธรรมชาติ (Nature-Based Solutions) นอกจากการเดินหน้าโครงการในประเทศไทยแล้ว WAVE BCG ยังได้ขยายโครงการสู่ประเทศต่างๆในอาเซียนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อการมุ่งสู่โครงการลดโลกร้อน จึงเป็นที่มาของความร่วมมือในครั้งนี้ เพื่อจัดหาและให้คำปรึกษาในการเดินหน้าโครงการปลูกซิลเวอร์โอ๊คทั้งในและต่างประเทศ

ภาคขนส่งตื่นตัว “คาร์บอนเครดิต” เดินหน้านวัตกรรมโลจิสติกส์สีเขียว

ผศ.ดร. มะโน ปราชญาพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและบริการวิชาการด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชน  วิทยาลัยโลจิสติกส์ และซัพพลายเชน  มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา (มร.สส.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆนี้ ทางสถาบันได้ร่วมกับบริษัท เอเชียพลัส อีวี จำกัด หรือ AEV  ซึ่งเป็นผู้แทนจำหน่ายยานยนต์พลังงานไฟฟ้า(EV) เชิงพาณิชย์ ของ บริษัท เน็กซ์ พอทย์ จำกัด (มหาชน) และ สถาบันมาตรฐานอังกฤษ (The British Standards Institution 2023 ) หรือ BSI  จัดโครงการอบรมให้ความรู้ในหัวข้อ “การจัดการคาร์บอนเครดิต ตามมาตรฐาน ISO 14064-1 , Carbon Trade และ การปรับเปลี่ยนระบบการขนส่งไฟฟ้า หรือ  EV transportation”  โดยมีผู้แทนหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ผู้แทนจากการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กกท.) สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ศรีตรัง โลจิสติกส์ จำกัด บริษัทธนัชวิชญ์ แทรเวล กรุ๊ป จำกัด บริษัท นิ่มซี่เส็งจนส่ง 1988 จำกัด และผู้ประกอบการด้านโลจิสติกส์หลายแห่งเข้าร่วม

ผศ.ดร. มะโน กล่าวอีกว่า ปัจจุบันการซื้อขายคาร์บอนเครดิตถูกนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของกลไกตลาด เพื่อจูงใจให้ภาคอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน ซึ่งในส่วนของประเทศไทยได้ตั้งเป้าหมายเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065 ดังนั้นผู้ประกอบการ โดยเฉพาะภาคการขนส่งจึงจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมเกี่ยวกับการจัดการขนส่งโดยระบบ  EV transportation และสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการและวิธีการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร ให้สามารถจัดทำระบบมาตรฐานการวัดปริมาณและการรายงานผลการปลดปล่อย และลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกในระดับองค์กร ตามแนวทางมาตรฐาน ISO 14064-1:2018 รวมถึงความรู้เกี่ยวกับมาตรการ CBAM (ซีแบม) ซึ่งเป็นมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน เพื่อป้องกันการนำเข้าสินค้าที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงเข้ามาในประเทศกลุ่มอียู เพื่อนำความรู้ที่ได้ไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนากระบวนการผลิตที่มีความสะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม  และวิเคราะห์หาแนวทางในการบริหารจัดการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กรได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพต่อไป

ด้านนายอิทธิวัตร เภาสูตร์ ประธานบริหาร บริษัทเอเซียพลัส อีวี จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ เล็งเห็นความสำคัญเรื่องนวัตกรรมโลจิสติกส์สีเขียวอย่างมาก จึงร่วมกับสถาบันฯดำเนินโครงการดังกล่าวขึ้น เพื่อให้ผู้ประกอบการได้รับข้อมูลความรู้อย่างถูกต้อง รวมถึงสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ยานยนต์ EV  ที่นอกจากจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลอยขึ้นไปทำลายชั้นบรรยากาศแล้ว ยังช่วยลดต้นทุนค่าขนส่งจากการใช้พลังงานไฟฟ้าแทนน้ำมันได้อีก ซึ่งผู้ประกอบการส่วนใหญ่ให้ความสนใจและเริ่มหันมาเปลี่ยนใช้ยานพาหนะ EV เพื่อการขนส่งสินค้ามากขึ้น เนื่องจากมีข้อมูลว่าสามารถนำไปสู่การยื่นขอการรับรองภายใต้โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program: T-VER) ซึ่งคาร์บอนเครดิต ที่เกิดขึ้นจากโครงการ T-VER สามารถนำประโยชน์ไปใช้ในการชดเชยคาร์บอน ผ่านปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ถ่ายโอนผลการลดก๊าซเรือนกระจกระหว่างประเทศ และนำไปซื้อขายในตลาดคาร์บอนได้ 

นายอิทธิวัตร กล่าวอีกว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายเป็นที่ปรึกษา EV transportation Solution แบบ Ecosystem ไม่ใช่เพียงแค่ดีลเลอร์ขายรถ EV เท่านั้น แต่ต้องสามารถตอบโจทย์ให้ลูกค้าด้วยการนำเสนอโมเดลที่ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มผลกำไรให้กับธุรกิจภาคการขนส่งด้วยมิติใหม่ โดยจะให้คำปรึกษาด้านนวัตกรรมโลจิสติกส์สีเขียว รวมถึงการออกแบบเส้นทางการขนส่งสินค้าอย่างคุ้มค่า ตลอดจนการให้บริการหลังการขายในการจัดทำข้อมูลการใช้งานของรถ EV เชิงพาณิชย์ ทั้งการจัดทำรายงานการแสดงข้อมูลปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยจากการดำเนินงานขององค์กร และการสะสมคาร์บอนเครดิตที่จะนำไปสู่การซื้อขายในอนาคต จะเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่เป็นประโยชน์ในการเพิ่มรายรับให้กับผู้ประกอบการ ที่สำคัญยังเป็นการสนองนโยบายภาครัฐที่จะนำไปสู่เป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศอีกด้วย สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://asiaplusev.com/ หรือเพจเฟสบุ๊ค รถไฟฟ้า ASIA PLUS EV 

“กรุงไทย” และ “กลุ่ม สิงห์ เอสเตท” ร่วมก้าวสู่ Net Zero ทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงอัตราดอกเบี้ย เชื่อมโยงคาร์บอนเครดิตครั้งแรกในไทย

ธนาคารกรุงไทยร่วมกับสิงห์ เอสเตท ทำสัญญาอนุพันธ์ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย เชื่อมโยงคาร์บอนเครดิต หรือ Carbon Credit Linked Interest Rate Derivatives ครั้งแรกในไทย ช่วยบริหารความเสี่ยงจากดอกเบี้ยในช่วงขาขึ้น พร้อมจัดหาคาร์บอนเครดิต หากดำเนินงานด้าน ESG ได้ตามเป้าหมาย ตอกย้ำผู้นำบริการทางการเงินที่ยั่งยืน ตอบโจทย์เป้าหมาย Net Zero ของประเทศ 

นายรวินทร์ บุญญานุสาสน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ในฐานะธนาคารพาณิชย์ชั้นนำของประเทศ ธนาคารกรุงไทย มุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมและบริการทางการเงินอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกมิติ ล่าสุด ธนาคารร่วมกับบริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) ทำสัญญาอนุพันธ์ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยที่เชื่อมโยงกับคาร์บอนเครดิต  (Carbon Credit Linked Interest Rate Derivatives)  เป็นครั้งแรกในประเทศไทย นับเป็นนวัตกรรมใหม่ของตลาดทุนไทย ที่ช่วยบริหารจัดการความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมสนับสนุนการจัดหาคาร์บอนเครดิตที่มีคุณภาพให้กับ สิงห์ เอสเตท เพื่อการชดเชยคาร์บอนจากกิจกรรมการปล่อยคาร์บอนของบริษัท (Carbon Offset) หากบริษัทสามารถดำเนินงานตามเป้าหมาย ESG สำเร็จ โดยมีการกำหนดคุณสมบัติของคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจ (Voluntary Carbon Credit) ให้รองรับทั้งมาตรฐานไทย (T-VER) ซึ่งรับรองโดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO) และมาตรฐานสากล Verified Carbon Standard ที่ออกโดยสมาคม Verra นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดประเภทคาร์บอนเครดิตที่ได้มาจากโครงการลดคาร์บอนที่อาศัยธรรมชาติเป็นพื้นฐาน (Nature-Based Solution) เช่น การปกป้องและฟื้นฟูผืนป่า เป็นต้น เพื่อให้ตรงกับเป้าหมายของ กลุ่มสิงห์ เอสเตท ที่ให้ความสำคัญกับการรักษาสมดุลของสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับการเติบโตอย่างยั่งยืน

“ความร่วมมือในครั้งนี้ ตอกย้ำการเป็นผู้นำตลาดด้านบริการทางการเงินที่ยั่งยืน (ESG Financial Solution) ที่ออกแบบและพัฒนาบริการตอบโจทย์ธุรกิจของลูกค้าอย่างตรงจุด สอดคล้องกับทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น และแนวโน้มการทำธุรกิจยุคใหม่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และตอบโจทย์เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน ( SDGs) ของสหประชาชาติ (UN) ในข้อ 13 เรื่องการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยธนาคารได้นำเครื่องมือทางการเงินมาใช้ในการบริหารจัดการอย่างครบวงจร เพื่อลดความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ หากสิงห์ เอทเตท สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและดำเนินงานได้ตามเป้าหมายด้าน ESG ธนาคารจะสนับสนุนการจัดหาคาร์บอนเครดิต เพื่อส่งเสริมการทำธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สนับสนุนเป้าหมาย Net Zero Emissions ของประเทศ เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ กรุงไทย เคียงข้างไทย สู่ความยั่งยืน” 

นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน)เปิดเผยว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงในครั้งนี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะในด้านการเตรียมแผนพัฒนาธุรกิจให้สามารถรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ภายใต้พันธกิจองค์กรที่เน้นสร้างความหลากหลายที่สมดุล เพื่อนำไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืนทั้งด้านเศรษฐกิจ ชุมชน และสิ่งแวดล้อม (Sustainable Diversity) ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมาบริษัทได้ดำเนินการด้านการต่อต้านภาวะโลกรวน หรือ climate change โดยบริษัทตั้งเป้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ.2030 ด้วยการสร้างความร่วมมือเครือข่ายพันธมิตรลดการปล่อยคาร์บอนจากกิจกรรมทางธุรกิจตลอดซัพพลายเชน (supply chain) เพิ่มการใช้พลังงานสะอาดในทุกหน่วยธุรกิจ เพิ่มพื้นที่ดูดซับคาร์บอนด้วยการปลูกป่าในเขตรอยต่ออุทยานเพื่อสร้างแนวป้องกันไฟป่า โดยตั้งเป้าสร้างพื้นที่อนุรักษ์ 1 ล้านตารางเมตร ภายในปี ค.ศ.2030

นอกจากนี้ยังขยายฐานสู่ธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ร่วมลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานคาร์บอนต่ำ สร้างนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศที่จังหวัดอ่างทอง รวมทั้งพัฒนาโครงการติดตั้งโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้พลังงานสะอาด ให้แก่บริษัทในเครือ อาทิเช่น การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ขนาด 1.3 เมกะวัตต์ ในโครงการโรงแรมของกลุ่มในประเทศไทยและมัลดีฟส์ ซึ่งจะสามารถต่อยอดสู่การร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจในอนาคต สร้างรายได้ที่ยั่งยืนพร้อมสร้างสังคมที่มีความสุข และมีคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกที่ๆมีธุรกิจของบริษัทดำเนินอยู่