"สนั่น" วอนเคารพผลการเลือกตั้ง หวังเดินหน้าตั้งรัฐบาลได้ตามกรอบเวลา

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เผยว่า หอการค้าไทยหวังว่าทุกภาคส่วนจะยอมรับผลการเลือกตั้งในครั้งนี้ เพื่อให้ประเทศสามารถเดินหน้าต่อไปได้ตามระบอบประชาธิปไตย สำหรับการจัดตั้งรัฐบาลเชื่อว่าน่าจะออกมาในรูปแบบรัฐบาลผสม และควรเร่งจัดตั้งให้แล้วเสร็จตามกรอบของระยะเวลา เพราะหากมีการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ที่ล่าช้า จะยิ่งส่งผลกระทบต่อทั้งความเชื่อมั่นและการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกับนักลงทุนต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุน รวมถึงการจัดสรรงบประมาณและนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่รอให้รัฐบาลชุดใหม่เข้ามาเร่งดำเนินการ

ทั้งนี้ถ้าหากมีการจัดตั้งรัฐบาลได้เร็วก็จะสามารถขับเคลื่อนประเทศ และตอบสนองต่อสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันได้อย่างทันท่วงที ดังนั้นเป้าหมายสำคัญ คือ ต้องสามารถตกลงแนวทางการทำงานและนโยบายของพรรคร่วมให้ชัดเจนและลงตัว ไม่เกิดความขัดแย้งและต้องมีเสถียรภาพ ซึ่งที่ผ่านมาต่างก็มีรัฐบาลผสมที่สามารถบริหารประเทศไปได้

ส่งออกอาหารไตรมาสแรกปี 66 รายได้ 3.46 แสนล้านบาท โต 10% ชงรัฐบาลใหม่แก้อุปสรรคแข่งขัน-ลดต้นทุนค่าไฟแพง

นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการหอการค้าไทย แถลงข่าวร่วมกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สถาบันอาหาร และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยได้สรุปภาวะอุตสาหกรรมอาหารไทยในปี 2565 พบว่า มีมูลค่าการส่งออกรวม 1 ล้าน 4 แสนล้านบาท ขยายตัวสูงถึง 23% ตามความต้องอาหารของโลกที่เพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งมีการปรับปรุงขอบเขตสินค้าอาหาร จากเดิมใช้ 24 กลุ่ม เพิ่มเป็น 25 กลุ่มสินค้า เพิ่มกากและเศษที่เหลือจากอุตสาหกรรมผลิต อาหารอาหารสัตว์ และอาหารสัตว์เลี้ยงเข้ามาใหม่ ทำให้มูลค่าการส่งออกอาหารของไทยเพิ่มขึ้นจากเดิม 8% โดยประมาณ ขณะที่มูลค่าการค้าอาหารโลกในปี 2565 อยู่ที่ 1,867 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 7.4% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งไทย อยู่ในอันดับ 15 ของประเทศผู้ส่งออกอาหารของโลก จากอันดับ 11 ในปี 2562

โดยในช่วงไตรมาสแรกของปี 2566 มูลค่าการส่งออกอาหารไทย นำรายได้เข้าประเทศแล้วกว่า 346,000 ล้านบาท ขยายตัว 10% สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ น้ำตาลทราย ข้าว ไก่ และผลไม้สด ดังนั้นในปี 2566 จะใช้ขอบข่ายสินค้า 25 กลุ่ม ซึ่งได้คาดการณ์มูลค่าการส่งออกของไทย จะทำสถิติสูงสุดครั้งใหม่ อยู่ที่ 1 ล้าน 5 แสนล้านบาท (หรือ 1.5 ล้านล้านบาท ) ขยายตัว 2.1% ตามนโยบายฟื้นฟูและการเปิดประเทศหลังสถานการณ์โควิด-19 ปัญหาการขาดแคนอาหาร ทำให้มีความต้องการอาหารเพิ่มสูงขึ้น แต่ละประเทศต้องการสำรองแต่ละประเทศต้องการสำรองอาหารเพิ่ม ขณะที่อาหารไทยยังมีคุณภาพมาตรฐานความปลอดภัย แต่ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นจากราคาพลังงาน ความผันผวนจากค่าเงิน รวมทั้งภาวะเงินเฟ้อที่ยังกดดันกำลังซื้อ และผลิตผลสินค้าเกษตร ที่เป็นวัตถุดิบสำคัญ เช่น สับปะรดโรงงาน และหัวมันสำปะหลัง  มีปริมาณลดลงและราคาปรับตัวสูงขึ้น

โดยภาคเอกชน มีข้อเสนอรัฐบาลใหม่ในการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารของไทย แม้ปริมาณและมูลค่าการส่งออก รวมถึงราคาส่งออกต่อหน่วย จะขยายตัวมาตลอดในรอบ 10 ปี แต่โครงสร้างอุตสาหกรรมอาหารยังพึ่งพาเฉพาะผู้ประกอบการรายใหญ่ ดังนั้นควรสนับสนุนเกษตรรายย่อย เน้นการรวมกันผลิตและจำหน่าย สร้างระบบการผลิตสินค้าเกษตรและอาหารอย่างยั่งยืนภายใต้ BCG โมเดล และสนับสนุนการยกระดับสู่อาหารอนาคต เพื่อให้ไทยเป็นประเทศอยู่กลุ่มรายได้สูงด้วยอุตสาหกรรมอาหาร และที่สำคัญไทยยังมีอีกปัญหาสำคัญคือขาดแคลนวัตถุดิบในการแปรรูปอาหาร ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่ต้องสนับสนุนการนำเข้าวัตถุดิบเพื่อผลิตส่งออกอย่างเดียวโดยไม่กระทบกับตลาดในประเทศ

นายเจริญ แก้วสุกใส ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ฝากถึงรัฐบาลใหม่ในเรื่องต้นทุนพลังงาน จากค่าไฟฟ้า เพราะหลายอุตสาหกรรมต้องพึ่งพาไฟฟ้า เช่น อาหารแช่เยือกแข็ง และผักผลไม้สด ดังนั้นควรคิดโครงสร้างราคาให้สอดคล้องต้นทุนจริง เพราะขณะนี้ราคาก๊าซปรับลดลงแล้วแต่ค่าไฟฟ้ายังไม่ลดลงตาม รวมทั้งการใช้นวัตกรรมเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า เพราะอุตสาหกรรมอาหาร เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และเกี่ยวข้องกับคนในประเทศ โดยเฉพาะภาคเกษตรรวมกว่า 40 ล้านคน เป็นต้น

เปิดเทอมเงินสะพัด 5.7 หมื่นล้านบาท สูงสุดรอบ 14 ปี ผู้ปกครองครวญเงินเพิ่มจ่ายแป๊ะเจี๊ยะ-เครื่องแบบนักเรียนสูงขึ้น

หอการค้าไทยประเมินใช้จ่ายเปิดเทอมใหม่กว่า 5.7 หมื่นล้านบาท สูงสุดในรอบ 14 ปีนับตั้งแต่การทำผลสำรวจมาเมื่อปี 53 เพิ่มขึ้น 5.3% เมื่อเทียบกับปี 62 เผยค่าบำรุงโรงเรียนกรณีเด็กเข้าใหม่-เครื่องแบบนักเรียนสูงขึ้น

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ผลสำรวจโพลประเมินผลกระทบของผู้ปกครองในช่วงเปิดเทอมจากกลุ่มตัวอย่าง 1,230 ตัวอย่างทั่วประเทศ ส่วนใหญ่มีบุตร 1-2 คน โดยค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเล่าเรียนต้อบุตร 1 คน มีค่าเทอมเฉลี่ย 9,500 บาท ค่าบำรุงโรงเรียนเฉลี่ย 2,300 บาท และค่าหนังสือเรียน อุปกรณ์การเรียน และเครื่องแบบนักเรียนที่ส่วนใหญ่ค่าใช้จ่ายยังเฉลี่ยเท่ากับปีที่แล้ว ส่วนค่าบำรุงโรงเรียนกรณีเด็กเข้าใหม่มองว่าสูงขึ้น รวมไปถึงเครื่องแบบนักเรียนบางอย่างเช่น รองเท้า และถุงเท้า ปีนี้ มีการปรับราคาขึ้น โดยค่าใช้จ่ายจะเฉลี่ย 19,500 บาทต่อบุตร 1 คน แม้ผู้ปกครองส่วนใหญ่ 63% จะบอกว่ามีเงินเพียงพอกับการใช้จ่ายช่วงเปิดเทอม แต่ที่เหลืออีก 36.5% นั้นตอบว่าเงินไม่เพียงพอ ซึ่งถือว่ามีสัดส่วนที่ต่ำสุดในรอบ 8 ปีนับตั้งแต่ปี 2559

ทั้งนี้ส่งผลให้มีเม็ดเงินการใช้จ่ายรวมทั่วประเทศกว่า 57,885 ล้านบาท สูงสุดในรอบ 14 ปีนับตั้งแต่การทำผลสำรวจมาเมื่อปี 2553 เพิ่มขึ้น 5.3% เมื่อเทียบกับปี 2562  ส่วนความกังวลต่อปัญหาทางการศึกษาคือการเรียนออนไลน์ที่ไม่เหมาะสมกับเด็กเล็ก ปัญหาของหลักสูตรการเรียนการสอนที่ไม่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลก และจำนวนครูที่ไม่เพียงพอกับความต้องการ

ขณะที่ความเห็นเกี่ยวกับนโยบายพรรคการเมืองด้านการศึกษานั้น ผู้ปกครองส่วนใหญ่ต้องการโครงการอาหารฟรีให้กับเด็กนักเรียน ยกเลิกระบบแป๊ะเจี๊ยะ ส่งเสริมโรงเรียน 2 ภาษาในทุกท้องถิ่น และนโยบายเรียนฟรีจนจบปริญญาตรีทั้งนี้ โดยภาพรวมการเปิดเทอมปีนี้ ผู้ปกครองมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ซึ่งมีมูลค่าใช้จ่ายสูงสุดนับแต่สำรวจมา สะท้อนว่าเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวจากก่อนช่วงสถานการณ์โควิด-19 และผู้ปกครองพร้อมที่จะใช้จ่ายมากขึ้น แต่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังเป็นในลักษณะเฉพาะกลุ่ม หรือ ฟื้นตัวแบบ K Shape  และระมัดระวังการใช้จ่าย เพราะคนหลายกลุ่มยังได้รับผลกระทบจากค่าครองชีพที่สูง ยังไม่พร้อมใช้จ่าย จึงย้ำว่า เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวแล้วแต่ยังเปราะบางเป็นต้น

ประเด็นร้อนเศรษฐกิจ 3 พ.ค.66

-​กรมการจัดหางานเตือนแรงงานต่างชาติ ทำผิดมาตรา 112 มีสิทธิถูกเพิกถอนใบอนุญาตทำงาน และอาจถึงนายจ้าง

-ดีอีเอสเซ็นเอ็มโอยู 16 แบงก์เพิ่มช่องทางแจ้งเตือนภัยออนไลน์ และเฟคนิวส์ผ่านแอปธนาคาร หวังเพิ่มความตระหนักรู้ให้ประชาชนรู้เท่าทันกลลวงอาชญากรรมออนไลน์-ลดความเสี่ยงจากภัยไซเบอร์

-กระทรวงพาณิชย์ เปิดตัวเลข ดัชนีราคาผู้บริโภค ในเดือน เม.ย.66 เพิ่มขึ้น 2.67% ชะลอตัวอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 16 เดือน ระบุเศรษฐกิจฟื้นตัวจากท่องเที่ยว-บริการ 2

-ธ.ก.ส.ร่วมมือกรมการค้าภายใน สนับสนุนผู้ประกอบการในการรวบรวมและรับซื้อผลไม้ฤดูกาลผลิต 2566 รวม 8 ชนิด เพื่อกระตุ้นให้มีปริมาณผลไม้หมุนเวียนในตลาดและส่งถึงมือผู้บริโภค ทั้งในและต่างประเทศได้อย่างรวดเร็ว ทันตามฤดูกาล โดยรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยให้ในอัตราร้อยละ 3 ระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน แจ้งความประสงค์เข้าร่วมโครงการฯ ได้ที่ ธ.ก.ส. ตั้งแต่วันนี้-12 พ.ค.66

-EXIM BANK โชว์ผลงาน Q1/66 สร้างผู้ส่งออกSMEs ป้ายแดง-ปล่อยกู้ลูกค้าใหม่กว่าหมื่นล้าน

-ธอส.เปิดให้ผู้ประกันตน มาตรา 33 ขอรับรหัสเข้าร่วมโครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อผู้ประกันตน

-คลังเผยแนวทางการโอนเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐสำหรับคนที่ไม่สามารถผูกบัญชีพร้อมเพย์กับเลขประจำตัวประชาชนได้ ทั้งผู้พิการ-ผู้ป่วยติดเตียง-บุคคลล้มละลาย

-กรมการค้าต่างประเทศเผยตัวเลขการใช้สิทธิประโยชน์จากความตกลง FTA เดือนม.ค.-ก.พ.66 การส่งออกไทยโดยรวมยังคงมีการใช้สิทธิฯอย่างต่อเนื่อง มีมูลค่ารวม 11,819.49 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สำหรับตลาดอาเซียนยังครองแชมป์อันดับ 1 ตามติดมาด้วยอาเซียน-จีน ไทย-ญี่ปุ่น ไทย-ออสเตรเลีย อาเซียน-อินเดีย และภายใต้ กรอบ RCEP มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ รวม 195.16 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

-ม.หอการค้าไทยเผยผลโพลความคาดหวังเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจของพรรคการเมืองในการเลือกตั้งปี 66 พบ 3 เรื่องด่วนที่ประชาชนต้องการ ลดค่าครองชีพ เพิ่มสวัสดิการ เพิ่มค่าแรง พร้อมตั้งคำถามเอาเงินจากไหน ทำแล้วได้ประโยชน์อะไร เศรษฐกิจจะโตหรือไม่ และหนี้สาธารณะจะเพิ่มหรือไม่

-กกร.เตรียมส่งหนังสือถึงนายกฯ ให้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งทำแผนรับมือภัยแล้งระยะเร่งด่วน 3 ปี และระยะยาว หวั่นเอลนีโญทำปริมาณน้ำลดหายหวั่นซ้ำเติมผู้ประกอบการ ภาคการเกษตร หนุนราคาสินค้าอาหารแพงหลังสารพัดต้นทุนพุ่ง พร้อมร่อนหนังสือให้พรรคการเมืองต่างๆ รวมถึงเตรียมยื่นรัฐบาลใหม่ 6 เรื่องเร่งแก้ไขขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

-กกร.เตือนสินค้าจ่อขึ้นหลังค่าไฟพุ่ง ภัยแล้งซ้ำ จี้รัฐเร่งทำแผนรับมือ คงจีดีพีปีนี้โต 3-3.5% ส่งออกลบ 1-0%

-กรมการค้าภายในร่วมมือตำรวจ ปคบ. และ สคบ.ออกตรวจเข้มการจำหน่ายชุดสังฆทาน หลังโซเชียลร้องถูกหลอก ไม่มีสินค้าอยู่ข้างใน

-สมาคมค้าทองคำรายงานราคาทอง(ทองคำ 96.5%) ในประเทศเปิดตลาดเมื่อเวลา 09.25 น. ราคาปรับขึ้น 300 บาท โดยทองคำแท่งรับซื้อ 32,350 บาท ขายออก 32,450 บาท สำหรับทองรูปพรรณรับซื้อ 31,760.20 บาท ขายออก 32,950 บาท ส่วนราคาทองคำโลก หรือ Gold Spot อยู่ที่ 2,017.50 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์0

-ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกน้ำมันกลุ่มดีเซลลง 0.50 บาท/ลิตร ส่วนกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล์ทุกชนิดคงเดิม มีผลตั้งแต่วันพรุ่งนี้ (4 พ.ค.66) เวลา 05.00 น. เป็นต้นไป ทั้งนี้ส่งผลให้ราคาน้ำมันขายปลีกในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่ยังไม่รวมภาษีบำรุงท้องถิ่นวันพรุ่งนี้ เป็นดังนี้ ดีเซล ลิตรละ 32.44 บาท ดีเซล B20 และดีเซล B7 ลิตรละ 32.44 บาท และน้ำมันพรีเมี่ยมดีเซล B7 ลิตรละ 41.56 บาท เบนซิน ลิตรละ 43.44 บาท, แก๊สโซฮอล์ 95 ลิตรละ 35.65 บาท, แก๊สโซฮอล์ 91 ลิตรละ 35.38 บาท, E20 ลิตรละ 33.34 บาท และ E85 ลิตรละ 33.79 บาท

-เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ระดับ 34.02 บาท/ดอลลาร์ ปรับตัวแข็งค่าจากช่วงเช้าที่เปิดตลาดอยู่ที่ระดับ 34.09 บาท/ดอลลาร์ ระหว่างวันเคลื่อนไหวในกรอบ 33.99 - 34.09 บาท/ดอลลาร์ ขณะที่มีเงินทุนต่างประเทศไหลเข้ามาในตลาดพันธบัตร 5,000 ล้านบาท โดยคืนนี้ จะมีการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งคาดว่าจะประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งสุดท้ายอีก 0.25%เพื่อแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อ และกลับมากังวลเรื่องปัญหาวิกฤตธนาคาร และคืนวันศุกร์จะมีการประกาศตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 180,000 ตำแหน่ง ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันจันทร์หน้าไว้ที่ 33.85 - 34.10 บาท/ดอลลาร์

-หุ้นไทยปิดวันนี้(3 พ.ค.)ที่ 1,533.30 จุด เพิ่มขึ้น 4.87 จุด (+0.32%) มูลค่าการซื้อขาย 54,974.69 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯเผยตลาดหุ้นไทยวันนี้ช่วงบ่ายพลิกกลับมาเป็นบวกหลังช่วงเช้าร่วงแรงกว่า 20 จุด โดยได้รับแรงซื้อกลับหลังราคาลงไปมากแล้ว และเงินเฟ้อไทยเดือนเม.ย.ออกมาดีกว่าคาดเล็กน้อยเริ่มเห็นการชะลอตัว แม้ยังมีปัจจัยลบภายนอกกดดันบ้าง ส่วนตลาดหุ้นเอเชียปส่วนใหญ่ปรับลง แนวโน้มสัปดาห์หน้าลุ้นเฟดคืนนี้ ให้แนวต้าน 1,550 จุด แนวรับ 1,520 จุด

6 พรรคโชว์กึ๋นกฎหมายภาษี เวทีหอการค้าฯ “Thailand 5.0 ปฏิรูปภาษีเพื่อชีวิตที่ดีกว่า”

เมื่อวันที่ 2 พ.ค.66 นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เป็นประธานเปิดงานเสวนา “Thailand 5.0 ปฏิรูปภาษีเพื่อชีวิตที่ดีกว่า” จัดโดยคณะกรรมการกฎหมายภาษี ภายใต้การนำของ ศาสตราจารย์ (พิเศษ) กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานคณะกรรมการกฎหมายภาษี โดยมีผู้แทนจาก 6 พรรคการเมืองเข้าร่วม ประกอบด้วย นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ฝ่ายนโยบาย นายวรวุฒิ อุ่นใจ รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า นายสุพันธุ์ มงคลสุธี รองหัวหน้าพรรคและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจพรรคไทยสร้างไทย นายพิสิฐ ลี้อาธรรม ประธานนโยบายพรรคประชาธิปัตย์ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองประธานคณะกรรมการเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย และ นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี ที่ปรึกษาพรรครวมไทยสร้างชาติ ณ ห้อง UTCC EVENT LAB อาคาร 23 ชั้น 7 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และเผยแพร่ผ่าน Facebook Live Streaming : ThaiChamber ไปพร้อมกันด้วย

          

นายสนั่น กล่าวว่า “การเสวนาในหัวข้อ “Thailand 5.0 ปฏิรูปภาษีเพื่อชีวิตที่ดีกว่า” ถือเป็นเวทีสาธารณะให้แก่พรรคการเมืองได้แสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับนโยบายและมาตรการภาษีที่ปฏิบัติได้จริง ซึ่งประเด็นคำถามส่วนหนึ่งมาจากข้อเสนอที่ภาคธุรกิจและประชาชน ที่ต้องการทราบถึงแนวทางในการพัฒนาและยกระดับนโยบายด้านภาษีของประเทศ ในลักษณะ Two-Way Communication โดยมุ่งเน้นประเด็นสำคัญเรื่องภาษีสรรพากรและภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภาษีศุลกากร และภาษีสรรพสามิต ซึ่งเกี่ยวข้องกับภาคธุรกิจและประชาชนโดยตรง เชื่อว่านโยบายด้านภาษีที่ดีและมีความชัดเจน จะช่วยดึงดูดและสนับสนุนให้ภาคธุรกิจและประชาชนและพร้อมเข้าสู่ระบบที่ถูกต้องได้มากขึ้น นอกจากนี้ รูปแบบการจัดเก็บภาษีของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ในปัจจุบันยังให้ความสำคัญกับสุขภาพของประชาชน คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนของสังคม ซึ่งจะเป็นประโยชน์สำหรับรัฐบาลในการจัดเก็บรายได้ของภาครัฐในหลากหลายรูปแบบ และท้ายที่สุดก็จะเป็นประโยชน์ต่อการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนและประเทศชาติ

ด้าน ศาสตราจารย์ (พิเศษ) กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานคณะกรรมการกฎฏหมายภาษี หอการค้าไทย กล่าวว่า หอการค้าฯ เล็งเห็นถึงความสำคัญที่จะนำประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับภาษีอากร ซึ่งจัดเก็บโดย 3 หน่วยงานหลักภายใต้กระทรวงการคลัง ประกอบด้วย กรมสรรพากร กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร ซึ่งล้วนเป็นรากฐานสำคัญและเป็นแหล่งรายได้หลักของภาครัฐมากล่าวถึง เพื่อสะท้อนปัญหาและสร้างความรับรู้ ความเข้าใจ ด้านนโยบายและมาตรการภาษี พร้อมทั้งรับทราบนโยบายและมาตรการด้านภาษีของแต่ละพรรคการเมืองที่จะนำมาปฏิบัติในอนาคต และจะเป็นประโยชน์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคม และความยั่งยืน โดยเฉพาะการสนับสนุนแก้ไขปัญหาและต่อยอดการพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมภิบาล ภายใต้แนวทาง BCG หรือ Bio Circular Green และ ESG หรือ Environment Social Governance ได้จริง

ทั้งนี้ ผู้แทนจาก 6 พรรคการเมืองได้ร่วมกันแสดงวิสัยทัศน์ “Thailand 5.0 ปฏิรูปภาษีเพื่อชีวิตที่ดีกว่า” กันอย่างหลากหลาย โดย นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ฝ่ายนโยบาย กล่าวว่า การปฏิรูปภาษี พรรคก้าวไกล ยึดโยง 4 เรื่อง เพิ่มรายได้ ประสิทธิภาพของต้นทุน พอมีประสิทธิภาพของต้นทุนที่ดี การจัดเก็บภาษีก็ลดลงได้และเป็นธรรมง่ายต่อการจัดเก็บ รวมทั้งเพิ่มนโยบายให้ผู้ประกอบการ นักลงทุน ลดการผลิตคาร์บอน ถ้าลดได้ ก็จะให้นำมาหักค่าใช้จ่ายลดภาษีได้ ประชากร ประชาชนที่ลดถุงพลาสติก สามารถลดหย่อนภาษีได้ สำหรับการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ไม่ควรเก็บจากการบริการ  แต่ควรเก็บจากกำไรที่ได้มาจากตลาดหลักทรัพย์ ส่วนการเก็บภาษีที่ดิน  จะเห็นได้ว่ามีการหลบเลี่ยง เช่น ปลูกกล้วย มะนาว ตรงนี้จะผลักดันให้ท้องถิ่นเข้ามาจัดการ เช่น ให้ปลูกตามสีของผังเมืองนั้นๆ ส่วนการตีความของศุลกากร ต้องมีฐานข้อมูล ที่ตรงกัน และตรวจสอบได้ ซึ่งการค้าขายต่างแดน ต้องมีเอกสารแบบเดียวกัน ไม่ต้องหลายแบบ หลายใบ มาตรฐานเดียวกันทั้งอาเซียน นอกจากนี้ บริการภาครัฐต้องเป็น digital ทั้งหมด

นายวรวุฒิ อุ่นใจ รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า หลักคิดของพรรคชาติพัฒนากล้าจะเน้นให้มีการแข่งขัน ลดบทบาทของทุนผูกขาด เปลี่ยนทุนผูกขาดเป็นทุนเผื่อแผ่ และเราจะไม่เน้นประชานิยมแต่จะเน้นโอกาสนิยม โดยจะเน้นโอกาสให้กับคนทำธุรกิจหรือประชาชนตัวเล็กๆให้ลืมตาอ้าปากได้ เหตุที่เราไม่เน้นประชานิยมเพราะโครงการแจกเงินจะตามมาด้วยการขึ้นภาษีเสมอ โดยนโยบายของพรรคชาติพัฒนากล้าจะเน้นไปที่การปรับโครงสร้างกับการหารายได้ ซึ่งมีนโยบายหลัก 4 ด้าน คือ 1.พลังงาน เพราะพลังงานเป็นต้นทุนของธุรกิจ ถ้าน้ำมันแพง ไฟแพง ก๊าซแพง ของทุกอย่างก็จะแพง 2.การเข้าถึงโครงสร้างเข้าถึงเงินทุน โดยการยกเลิกแบล็คลิสต์ เครดิตบูโร ให้ประชาชนสามารถเข้าไปกู้เงินในระบบ ไม่ต้องไปพึ่งเงินกู้นอกระบบ 3.ลดภาษีกลุ่มคนที่มีรายได้ไม่ถึง 4 หมื่นบาท ส่วนเรื่องตลาดหลักทรัพย์เรามีแนวคิดแข่งขันเสรี จึงต้องไม่มีการเก็บภาษีเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะเราต้องใช้ภาษีมากระตุ้นการแข่งขันเพิ่มโอกาส และต้องเพิ่มฐานกระจายการเก็บภาษีต้องทำให้ทั่วถึงเท่าเทียม ซึ่งตลาดหุ้นจะใช้เป็นเครื่องมือช่วยเกษตรกรเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร โดยให้เกษตรกรรวมกลุ่มเป็นสหกรณ์และนำเข้าตลาดหลักทรัพย์ อาจจะโยงไปภาษีสรรพสามิตคือเรื่องสุราชุมชน หากเราเอาบริษัทสุราใหญ่ๆของเมืองไทยมาเป็นผู้ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์และให้เกษตรกรเข้ามาเป็นสมาชิกแบบสหกรณ์ จะทำให้เราขยายตลาดสุราชุมชนสุราผลไม้ไทยไปได้ทั่วโลก และสนับสนุนให้บริษัทใหญ่ๆเติบโตไปต่างประเทศ

 

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี รองหัวหน้าพรรคและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจพรรคไทยสร้างไทย กล่าวว่า ปัญหาหลักของเรื่องภาษีในประเทศไทยคือความไม่ทันสมัยในการจัดเก็บและบริหารจัดการโครงสร้างภาษีเพราะปัจจุบันประเทศไทย มีกรมที่มีหน้าที่ในการจัดเก็บภาษีอยู่ 3 กรม คือ กรมสรรพากร กรมศุลกากร และกรมสรรพสามิต แต่ไม่มีการบูรณาการการทำงานร่วมกัน จะต้องมีระบบ Data one เพื่อให้หน่วยงานต่างๆ แบ่งปันข้อมูลกันจะช่วยป้องกันการทุจริตคอรัปชั่นได้ดีที่สุด ส่วนเรื่องของการส่งเสริม ESG และ BCG ผ่านมาตรการทางภาษี ต้องมีการลดภาษีให้กับผู้ประกอบการ สำหรับผู้ที่ซื้อสินค้าที่เป็น BCG และ ESG ก็สามารถนำใบเสร็จไปลดหย่อนภาษีได้ เพื่อส่งเสริมให้คนใช้สินค้าที่ดีและมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น นอกจากนี้ต้องมีมาตรการภาษีที่จะช่วยเหลือ SMEs โดยเสนอให้มีการงดเก็บภาษีสามปี ในขณะที่ปัญหาของกรมศุลกากรนั้น ต้องลดอำนาจของกรมศุลกากรลง เพื่อป้องกันการทุจริตคอรัปชั่น  ในส่วนของกรมสรรพสามิตนั้น ต้องจัดเก็บเฉพาะสิ่งของที่จำเป็นจะต้องจัดเก็บจริงๆ ที่คนไม่ค่อยใช้ไม่ค่อยบริโภคจริงๆ เพื่อกระตุ้นการบริโภคให้เกิดขึ้นได้ก่อน

นายพิสิฐ ลี้อาธรรม ประธานนโยบายพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า แนวทางของพรรคประชาธิปัตย์ต้องการให้เศรษฐกิจโตกว่านี้ โดยภาษีเงินได้นิติบุคคล อยากจะเสนอหาดใหญ่เป็นศูนย์กลางทางด้านการเงินของภูมิภาค ส่วนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เนื่องจากประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาประชากรในวัยแรงงานลดลง เด็กเกิดใหม่ลดลง ภาษีเงินได้ที่จัดเก็บได้ก็จะลดลง จึงต้องให้คนมีลูกได้ลดหย่อนภาษีเพิ่มขึ้นเพื่อแก้ปัญหาวาระสำคัญของประเทศคือการขาดแรงงานและการเข้าสู่สังคมสูงวัย ทั้งยังให้ท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการจัดเก็บภาษีจากคนรวยในต่างจังหวัดที่เยอะขึ้น นอกจากนี้ กระทรวงการคลังจะต้องให้ความสำคัญและจะต้องจัดให้มีเจ้าภาพในการดำเนินการเรื่อง Carbon Tax และจัดการกับ Carbon Footprint และ Carbon Credit

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองประธานคณะกรรมการเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยมีความทุกข์กับกรมศุลกากร ที่ใช้เวลาตีความกฎหมายทยาวนาน ทำให้มีการเปรียบเทียบว่าทำไมการนำเข้าง่ายกว่าการส่งออก ตรงนี้ต้องไม่เกิดขึ้นเพราะว่าการนำเข้าวัตถุดิบเพื่อนำมาผลิตเพื่อใช้ในประเทศและส่งออกต้องได้รับการดูแล แต่บ่อยครั้งไม่ได้เกิดจากหน่วยงานกรมศุลกากร อาจจะเป็นหน่วยงานอื่นที่มีหน้าที่ดูแลสารพิษเกี่ยวข้องกับการนำเข้า ดังนั้นหน่วยงานต่างๆต้องร่วมมือกับหน่วยงานส่วนกลางก่อน ส่วนสรรพสามิต เกี่ยวข้องกับสุขภาพเกี่ยวข้องกับศีลธรรมเรื่องของความฟุ่มเฟือยแต่ถึงเวลาตีความไปต่างๆนานา ดังนั้นกรมสรรพสามิตต้องทำภายใต้นโยบายที่เหมาะสม ทำงานร่วมกันทั้งรัฐและเอกชน สำหรับภาษีสรรพากร รายได้ภาษีที่สูงขึ้นไม่จำเป็นต้องมาจากอัตราภาษีที่สูงขึ้น แต่ได้มาจากการขยายฐานภาษี ทำให้ประชาชนและผู้ประกอบการมีรายได้มากขึ้น และร่วมมือในการเสียภาษี ใช้มาตรการและขั้นตอนที่รวดเร็วของ VAT Refund ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้ใช้จ่ายเพิ่มขึ้นและมาท่องเที่ยวมากขึ้น รวมถึงเสนอยกเลิกภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างและหันกลับไปใช้ภาษีโรงเรือน

ขณะที่ นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี ที่ปรึกษาพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่า การกำหนดนโยบายภาษีต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน มียุทธศาสตร์ กรมต่างๆต้องทำงานร่วมกัน มีนโยบายร่วมกัน กฎหมายต้องมีการปรับปรุงให้ทันสมัยเข้ากับยุคสมัย และต้องกำจัดปัญหาธุรกิจคอรัปชั่นเพื่อให้รัฐสามารถจัดเก็บรายได้ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย และเป็นการจูงใจทางอ้อมให้ประชาชนเสียภาษี ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทยมีประชากรเกือบ 67 ล้านคน แต่มีผู้เสียภาษีรายได้เพียง 10 ล้านคน

วันแรงงานปีนี้เงินสะพัด 2,067 ล้านบาท โต 29.8% ขอรัฐบาลใหม่ขึ้นค่าแรง-ดูแลสวัสดิการ-ลดค่าครองชีพ

หอการค้าไทยคาดวันแรงงานปีนี้คึกคัก เงินสะพัดกว่า 2 พันล้าน  ขยายตัวร้อยละ 29.8 ขอรัฐบาลใหม่ใหม่ดูแลสวัสดิการ สร้างงาน ลดค่าครองชีพ

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยว่า ผลสำรวจสถานภาพแรงงานไทย กรณีศึกษาผู้มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาท พบว่า แรงงานส่วนใหญ่ยังคงมีปัญหาในเรื่องของรายได้ไม่พอกับรายจ่าย ทำให้มีภาระหนี้ที่สูงขึ้น เนื่องจากค่าครองชีพที่สูงโดยมีการกู้เงินเพิ่มเพื่อใช้ชำระหนี้ จึงก่อให้เกิดหนี้สะสม โดยภาระหนี้ครัวเรือนของแรงงานไทยปีนี้ขยายตัวร้อยละ 25.05 คิดเป็นมูลค่าหนี้ 272,528 บาทต่อครัวเรือน แต่สัดส่วนหนี้นอกระบบ ลดลงต่ำสุดในรอบ 14 ปี

ขณะเดียวกันผลการสำรวจยังพบว่า ในปีนี้แรงงานมีการวางแผนทำกิจกรรมนอกบ้านมากขึ้น เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายและบางส่วนมองเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวส่งผลทำให้มีการใช้จ่ายในช่วงวันแรงงานเฉลี่ยอยู่ที่ 2,500 บาทต่อคน ทำให้วันแรงงานปีนี้ยอดเงินสะพัดอยู่ที่ 2,067 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 29.8 โดยข้อเสนอของแรงงานไทยที่มีต่อรัฐบาลใหม่ คืออยากให้สร้างความเท่าเทียมกันในสังคม เพิ่มสวัสดิการที่ดี ทำให้เศรษฐกิจในแต่ละพื้นที่ฟื้นตัวเกิดการสร้างงานโดยไม่ต้องเดินทางเข้าทำงานในเมือง ดูแลราคาสินค้าและค่าครองชีพให้สอดคล้องกับรายได้ รวมถึงการปรับค่าแรงตามความเหมาะสมของอัตราเงินเฟ้อและรายจ่ายที่เพิ่มขึ้น

หอการค้าไทยแนะรัฐเร่งลดค่าไฟ ยิ่งยื้อฉุด ศก.ไทยทรุด แนะรัฐบาลใหม่ปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้าทั้งระบบ

ช่วงที่ผ่านมาภาคธุรกิจต่างออกมาโอดครวญถึงต้นทุนการผลิตที่สูงจนกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ ประกอบกับเสียงสมทบของภาคประชาชนที่บอกว่าค่าไฟฟ้าแพงขึ้นอย่างผิดปกติ ทั้งที่พฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าเหมือนเดิม กลายเป็นกระแสพอๆ กับประเด็นข่าวการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้ จนต้องยอมรับว่าความรู้สึกของทุกคนมองค่าไฟฟ้าแพงขึ้นเป็นปัญหาหลักของประเทศในช่วงนี้ และต่างเปล่งเสียงไปยังผู้รับผิดชอบเพื่อถามหาแนวทางช่วยเหลือให้ชัดเจนมากกว่าที่เป็นอยู่ 

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวถึงประเด็นนี้ได้อย่างน่าสนใจว่า วันนี้ค่าไฟฟ้าที่แพงเป็นปัญหาของทุกคนในประเทศไม่ใช่เฉพาะของธุรกิจเพียงอย่างเดียว หอการค้าฯ ร่วมกับ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3  สถาบัน (กกร.) ได้พยายามสื่อสารกับรัฐบาลถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องลดค่าไฟฟ้าลงในช่วงนี้ เพื่อให้ไม่เป็นปัญหาซ้ำเติมกับทุกภาคส่วนที่กำลังฟื้นตัวจากวิกฤตในช่วง 2 - 3 ปีที่ผ่านมา วันนี้เห็นทิศทางที่ดีที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง แต่ยังติดล็อคกับปัญหาไฟฟ้าที่ทำให้ภาคธุรกิจไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมการผลิต ธุรกิจท่องเที่ยวในกลุ่มของโรงแรมที่พัก ธุรกิจค้าปลีกอย่างห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้า ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่ใช้ไฟฟ้าสูงสุดของประเทศ กำลังเผชิญกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากค่าไฟฟ้าที่ยังอยู่ในระดับสูง ประกอบกับช่วงนี้อากาศของไทยร้อนจัดหลายพื้นที่มีอุณหภูมิสูง ประชาชนเปิดเครื่องปรับอากาศและพัดลมช่วยคลายความร้อนจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (พีก) อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับค่าไฟฟ้าของไทยเป็นอัตราก้าวหน้าคือยิ่งใช้มากก็ต้องยิ่งจ่ายแพงมากขึ้น

โดยปัญหานี้ หอการค้าฯ และ กกร.ให้ความสำคัญมากและได้เคยมีหนังสือไปยังรัฐบาลและผู้เกี่ยวข้องในการพิจารณาแนวทางการปรับค่าไฟฟ้าให้ลดลง จากกรณีที่ประชุมคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เมื่อวันที่ 22 มี.ค.66 ที่ได้มีมติเห็นชอบค่า Ft เป็นอัตราเดียวกันสำหรับบ้านที่อยู่อาศัยและผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทอื่นๆเท่ากับ 98.27 สตางค์ต่อหน่วย ทำให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยรวมอยู่ที่ 4.77บาทต่อหน่วย ครั้งนั้น กกร.มีความเห็นควรพิจารณาทบทวนค่า Ft งวดที่ 2 เพื่อเป็นการลดภาระของภาคประชาชนในครัวเรือนและภาคธุรกิจ ทั้งข้อเสนอที่ให้มีการคงระยะเวลาการคืนหนี้ให้ กฟผ.เป็นระยะ 3 ปี ตามงวด 1/2566 ข้อเสนอการพิจารณาใช้ราคาที่สะท้อนแผนการนำเข้า LNG ในช่วงเดือน พ.ค.- ส.ค. 66 แทนการใช้ข้อมูลราคาของเดือน ม.ค.66 ซึ่งมีราคาที่สูงกว่าเพื่อบรรเทาผลกระทบราคาไฟฟ้า รวมถึงเร่งจัดตั้ง กรอ.พลังงาน เพื่อเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้าไปมีส่วนร่วมให้ความเห็นในการกำหนดนโยบายด้านพลังงาน 

ทั้งนี้ทราบว่าปัจจุบันค่าไฟฟ้าในงวดที่ 2 (1 พฤษภาคม-31 สิงหาคม 2566) กกพ.มีมติเห็นชอบให้ลดลงจาก 4.77 บาทต่อหน่วย เหลือ 4.70 บาทต่อหน่วย ถึงจะไม่ใช่ตัวเลขที่มากนักแต่เป็นแนวโน้มที่ดีต่อภาคเอกชนและประชาชน และแม้จะอยู่ในช่วงรัฐบาลรักษาการก่อนการเลือกตั้ง แต่ภาคเอกชนอยากเห็นรัฐบาลกล้าตัดสินใจลดค่าไฟฟ้าทันที โดยไม่ได้มองว่าเป็นประเด็นที่จะใช้หาเสียงในช่วงเลือกตั้งหรือไม่ เพราะตอนนี้ถือเป็นปัญหาที่ทุกภาคส่วนเห็นตรงกันทั่วประเทศ และหากปล่อยให้ปัญหายืดเยื้อไปจนถึงรัฐบาลชุดใหม่คงจะกระทบต่อภาพรวมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศอย่างมหาศาล  ดังนั้น หากเร่งจัดตั้ง กรอ.พลังงาน พิจารณาปรึกษาหารือระหว่างรัฐบาล ภาคเอกชน และตัวแทนภาคประชาชน โดยทุกฝ่ายร่วมกันพิจารณาโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าของประเทศร่วมกันใหม่ ก่อนสรุปเป็นตัวเลขในการลดค่าไฟฟ้า ชี้แจงรายละเอียดและความจำเป็นให้ทุกคนได้รับทราบ เชื่อว่าทุกภาคส่วนจะยอมรับและช่วยบรรเทาความเดือนร้อนที่จะเกิดขึ้นได้ในระยะนี้ต่อไปได้ ขณะเดียวกันคงต้องเป็นโจทย์ใหญ่ของรัฐบาลชุดถัดไปที่จะต้องสะสางปัญหาโครงสร้างค่าไฟฟ้าทั้งระบบเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในลักษณะเช่นนี้ โดยเฉพาะความสามารถของผู้ประกอบการไทยที่ยังแข่งขันไม่ได้จากต้นทุนด้านพลังงานที่สูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน

หอการค้าไทย ผนึก โออาร์  พัฒนาศักยภาพ SMEs เติบโตเข้มแข็งรับการค้ายุคใหม่

พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ โครงการ Big Brother ระหว่าง หอการค้าไทย และ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือโออาร์ ร่วมเป็นบริษัทพี่เลี้ยงในการพัฒนาศักยภาพ ถ่ายทอดองค์ความรู้ และประสบการณ์ทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการ SMEs ให้มีการเติบโตอย่างเข้มแข็ง

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่าโครงการ Big Brother ได้ดำเนินการมากว่า 7 ปี โดยองค์ประกอบที่สำคัญในการสร้างความสำเร็จให้กับบริษัทน้อง ให้เกิดขึ้นได้นั้น ล้วนมาจากความมุ่งมั่นตั้งใจของบริษัทพี่เลี้ยง ที่ใช้ความพยายามในการถ่ายทอดองค์ความรู้ และประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจให้กับบริษัทน้องอย่างเข้มข้น โดยพี่เลี้ยงแต่ละบริษัทจะบ่มเพาะให้กับบริษัทน้องเป็นเวลา 6-8 เดือนในแต่ละรุ่น นอกจากการถ่ายทอดองค์ความรู้ในการดำเนินธุรกิจแล้ว ยังช่วยวางแผนการดำเนินงานในอนาคต โดยมีจุดมุ่งหมายในการสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทายอย่างยิ่ง
ต่อการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน

สำหรับในปีนี้ เป็นปีเฉลิมฉลอง 90 ปี หอการค้าไทย ภายใต้แนวคิด Connect - Competitive - Sustainable หอการค้าฯ ให้ความสำคัญกับการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของ SMEs ซึ่งตรงกับวัตถุประสงค์ของโครงการนี้ และการที่บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือโออาร์ มาร่วมเป็นพี่เลี้ยงในครั้งนี้ ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่จะได้สานต่อในการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ร่วมกัน ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติต่อไป 

นายพลิษศร์ ภิรมย์ภักดี รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และประธานคณะกรรมการเพิ่มความเข้มแข็งให้สมาชิก กล่าวว่า โครงการ Big Brother ถือเป็นโครงการหลักของหอการค้าไทย ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากบริษัทพี่เลี้ยงชั้นนำของประเทศที่มีความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจ มาร่วมถ่ายทอดองค์ความรู้ และประสบการณ์ทางธุรกิจ ให้กับผู้ประกอบการ SMEs ตลอดระยะเวลา 6 Season ที่ผ่านมา ได้บ่มเพาะบริษัทน้องเลี้ยงไปกว่า 363 บริษัทสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ ให้กับประเทศ ได้มากกว่า 4,000 ล้านบาท 

สำหรับความร่วมมือในวันนี้ โออาร์ ได้มาร่วมเป็นบริษัทพี่เลี้ยง ถือว่าเป็นองค์กรที่มีประสบการณ์อย่างยาวนานของผู้บริหารกลุ่ม ปตท. และจะเป็นประโยชน์อย่างมากกับผู้ประกอบการ อีกทั้ง มีความหลากหลายของบริษัทในเครือฯ จะสามารถช่วยเสริมองค์ความรู้ให้กับสมาชิกโครงการได้อย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามทั้งหอการค้าไทย และโออาร์ มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน ในการช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยในประเทศให้สามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ในทุกสภาวะเศรษฐกิจ

นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของ โออาร์ ในการสร้างโอกาสในการดำเนินธุรกิจและช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการ SMEs ไทย อีกทั้งยังตอบโจทย์กลยุทธ์เป้าหมายการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนผ่าน SDG ในแบบฉบับของ โออาร์ หรือ “OR SDG” ในด้าน “S-Small” หรือการสร้างโอกาสเพื่อคนตัวเล็ก โดย โออาร์ ยินดีที่จะถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านธุรกิจและประสบการณ์ต่างๆที่ โออาร์ มีอยู่ เพื่อช่วยยกระดับผู้ประกอบการ SMEs ไทย ให้มีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจและมีมาตรฐานในด้านต่างๆ เพิ่มขึ้น รวมไปถึงเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน อันจะนำไปสู่การจ้างงานและเพิ่มการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจของประเทศ และหวังว่าองค์ความรู้และประสบการณ์การบริหารธุรกิจดังกล่าว จะเป็นประโยชน์กับ “บริษัทน้อง” ที่เข้าร่วมโครงการ และช่วยให้ SMEs ไทยเติบโตได้อย่างเข้มแข็งและยั่งยืนต่อไป

นายสุชาติ ระมาศ ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา โออาร์ ได้ให้การสนับสนุน SMEs ไทยหลากหลายรูปแบบ เช่น การสนับสนุนให้ SMEs เข้ามาขายสินค้าในธุรกิจของ โออาร์ ทั้งในสถานีบริการ PTT Station และร้าน Café Amazon ทั่วประเทศ ซึ่งการสนับสนุน SMEs ไทยในโครงการ Big Brother นี้ โออาร์ จะจัดกิจกรรมให้ “บริษัทน้อง” ที่เข้าร่วมโครงการเข้าเยี่ยมชมศูนย์ธุรกิจ Café Amazon (AICA) ที่อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในช่วงเดือนพฤษภาคมนี้ เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ที่ดีให้กับบริษัทที่เข้าร่วมโครงการนำความรู้ที่ได้ไปพัฒนาต่อยอดธุรกิจของตนเอง รวมถึง โออาร์ จะส่งทีมงานเข้าไปช่วยให้คำแนะนำแก่ “บริษัทน้อง” ที่อยู่ภายใต้ความดูแลเพื่อช่วยพัฒนาองค์ความรู้ด้านต่างๆอย่างยั่งยืนอีกด้วย

 

 

เลือกตั้งเงินสะพัดแสนล้าน ดันจีดีพีโต 0.5-0.7% ทั้งปีคงที่ 3-4% ภาคธุรกิจกังวลค่าไฟ-น้ำมัน-ค่าแรงดันต้นทุนพุ่ง

นายวชิร คูณทวีเทพ ผู้อำนวยการสถาบันยุทธศาสตร์การค้า มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลการสำรวจ กระทบของภาคธุรกิจต่อภาวะเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน โดยเป็นการสำรวจความคิดเห็นจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้ประกอบการภาคธุรกิจของไทย 600 ตัวอย่างทั่วประเทศ ซึ่งมีทั้งภาคเกษตร,ภาคอุตสาหกรรม,ภาคบริการ และภาคการค้า พบว่าสถานการณ์ด้านเงินเฟ้อที่มีผลกระทบกับธุรกิจ ผู้ประกอบธุรกิจส่วนใหญ่ถึง 92.5% ได้รับผลกระทบในด้านลบจากอัตราเงินเฟ้อสูง ซึ่งส่งผลกระทบต่อยอดขาย ต้นทุน และกำไร โดยวิธีการรับมือคือ ปรับลดการซื้อวัตถุดิบ, ลดกำลังการผลิต และปรับปรุงประสิทธิภาพในการผลิต ซึ่งในมุมมองของผู้ประกอบการ เห็นว่าอัตราเงินเฟ้อในระดับที่เหมาะสมควรอยู่ที่ 2.3%

ขณะที่สถานการณ์อัตราดอกเบี้ยที่มีผลกระทบกับธุรกิจ ผู้ประกอบธุรกิจส่วนใหญ่ 53.6% ไม่ได้รับผลกระทบ ขณะที่อีก 34.1% ได้รับผลกระทบในเชิงลบ โดยเฉพาะกระทบต่อยอดขาย ต้นทุน กำไร และหนี้สิน และเห็นว่าหากมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก ผู้ประกอบการธุรกิจส่วนใหญ่ถึง 70% มองว่ามีโอกาสที่จะผิดนัดชำระนี้ ส่วนสถานการณ์อัตราค่าแรงขั้นต่ำที่มีผลกระทบกับธุรกิจ ผู้ประกอบธุรกิจส่วนใหญ่ 76.8% มองว่าได้รับผลกระทบเชิงลบ ซึ่งส่งผลต่อยอดขาย กำไร และพนักงาน/ลูกจ้าง โดยส่วนใหญ่ 77.4% มองว่าอัตราค่าแรงขั้นต่ำในปัจจุบัน (328-354 บาท/วัน) มีความเหมาะสมแล้ว แต่หากมีการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำมากกว่า 10% ผู้ประกอบธุรกิจเกือบ 80% ระบุว่ามีโอกาสจะปลด/เลิกจ้างพนักงาน และส่วนใหญ่ 53.9% บอกว่ามีโอกาสจะปรับขึ้นราคาสินค้า-บริการ

สำหรับสถานการณ์อัตราแลกเปลี่ยน ที่มีผลกระทบต่อธุรกิจ ผู้ประกอบธุรกิจส่วนใหญ่ 89.2% ไม่ได้รับผลกระทบ และไม่ได้เตรียมการรับมือต่อความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากผู้ที่ทำแบบสำรวจส่วนใหญ่ไม่ได้มีการค้าขายระหว่างประเทศ การกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน ผู้ประกอบธุรกิจส่วนใหญ่ 77.4% ได้รับผลดีจากการที่จีนเปิดประเทศและยกเลิกมาตรการ Zero Covid โดยส่งผลดีต่อทั้งยอดขาย กำไร และการลงทุน นอกจากนี้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังระบุว่า ได้รับผลกระทบจากการปรับอัตราค่าไฟฟ้า การปรับขึ้นราคาน้ำมัน

ส่วนสถานการณ์แบงก์สหรัฐฯล้มนั้น ผู้ประกอบธุรกิจส่วนใหญ่ 73.5% เชื่อว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยน้อย และส่งผลกระทบต่อธุรกิจน้อยเช่นกัน แต่ในส่วนของผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศนั้น ส่วนใหญ่ 80% มองว่ามีโอกาสได้รับผลกระทบ ขณะที่การเลือกตั้งที่จะส่งผลต่อธุรกิจ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ 40% มองว่าจะส่งผลในทางบวก เช่น มีเงินสะพัดมากขึ้น ยอดขายสินค้าเพิ่มขึ้น เกิดความเชื่อมั่นในด้านการเมือง ส่วนผู้ที่มองว่าจะเกิดผลกระทบในทางลบต่อธุรกิจ มี 11.5% เนื่องจากกังวลต่อนโยบายด้านเศรษฐกิจ เสถียรภาพทางการเมือง และแนวนโยบายหาเสียงของพรรคการเมือง โดยเฉพาะกรณีการขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำ

ทั้งนี้สิ่งที่ผู้ประกอบธุรกิจ ต้องการให้รัฐบาลออกมาตรการช่วยเหลือ หรือบรรเทาผลกระทบจากปัจจัยต่างๆที่เกิดขึ้น ได้แก่ 1.ดูแลต้นทุนการผลิตของภาคเอกชนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่สูงเกินไป โดยเฉพาะช่วงที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวเช่น ไม่ปรับขึ้นค่าพลังงาน, ต้นทุนอัตราดอกเบี้ย,ค่าจ้างขั้นต่ำ เป็นต้น 2.เร่งเบิกจ่ายงบประมาณอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงที่มีรัฐบาลรักษาการ และยังไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ 3.ส่งเสริมการท่องเที่ยวจากต่างประเทศ และในประเทศให้เหมาะสม เพื่อเป็นปัจจัยกระตุ้นเศรษฐฏิจให้ฟื้นตัวได้ ขณะที่เศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอน 4.ดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพ และอ่อนค่า เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและการส่งออกให้ขยายตัว 5.ดูแลสถานการณ์หนี้ครัวเรือน โดยเฉพาะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว และมีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจโลกถดถอย โดยให้ธุรกิจและประชาชนสามารถเข้าถึงแหล่งสินเชื่อได้อย่างดี และมีเงื่อนไขในการปรับโครงสร้างหนี้ หากมีปัญหาทางเศรษฐกิจเกิดขึ้น
  
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า การทำโพลนี้ขึ้น เพื่อต้องการจะดูว่าก่อนที่จะมีรัฐบาลใหม่ ซึ่งคาดว่าจะเป็นช่วงเดือนส.ค.66 นั้น ภาคธุรกิจ และเศรษฐกิจไทยมีความแข็งแกร่งพอหรือไม่ และมองว่าอะไรที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อภาคธุรกิจ และเศรษฐกิจของไทย โดยจากผลการสำรวจจะพบว่า ภาคธุรกิจมองว่า "ต้นทุน" เป็นสิ่งที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนที่เกิดจากอัตราเงินเฟ้อ และต้นทุนที่เกิดจากการผลิต ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อยอดขาย และกำไรของธุรกิจ

โดยผู้ประกอบการมองว่า ปัจจุบันยอดขายยังไม่กระเตื้องมาก เพราะโดนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด แม้ว่าเศรษฐกิจไทยจะเริ่มดีขึ้นจากการท่องเที่ยว และมีการค้าขายได้มากขึ้นจากการท่องเที่ยวที่ดีขึ้น แต่เศรษฐกิจโลกที่ซึมๆ และการส่งออกที่ยังไม่เด่น มันดึงกำลังซื้อออกไปจากระบบ รวมถึงความกังวลเรื่องค่าไฟแพง เงินเฟ้อสูง เศรษฐกิจโลกถดถอย และปัญหาแบงก์ล้มในต่างประเทศ จึงทำให้คนยังระมัดระวังไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย แม้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะปรับดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 ก็ตาม อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบธุรกิจส่วนใหญ่ มองว่าตั้งแต่ช่วงปลายไตรมาส 3 เป็นต้นไปสถานการณ์จะค่อยเริ่มดีขึ้น และเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวอย่างชัดเจนได้ในไตรมาสที่ 4

ส่วนสถานการณ์ทางการเมืองนั้น ภาคธุรกิจกังวลต่อการจัดตั้งรัฐบาลว่า หากภายหลังการเลือกตั้งแล้วนโยบายไม่ได้รับการยอมรับ หรือมีเหตุตั้งรัฐบาลชุดใหม่แล้วมีภาพความขัดแย้งทางการเมือง รวมถึงความมีเสถียรภาพของรัฐบาลชุดใหม่ว่าจะได้รับการยอมรับจากสังคมมากน้อยเพียงใด เนื่องจากในการจัดตั้งรัฐบาลรอบนี้ อาจจะเกิดเหตุการณ์ได้หลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นการแลนด์สไลด์ การเปลี่ยนขั้วทางการเมือง เหตุการณ์นอกสภา นโยบายรัฐบาลจะเป็นอย่างไร เหล่านี้ล้วนสร้างความไม่มั่นใจให้กับผู้ประกอบการและนักลงทุน จึงทำให้ในช่วงไตรมาส 2-3 ของปีนี้ เป็นช่วงของการ Wait and See การลงทุน หรือต่อยอดการลงทุน จะเป็นสถานการณ์ Wait and See ในไตรมาสที่ 2 และ 3 ซึ่งตัวขับเคลื่อนประเทศจะยังไม่ใช่การลงทุนมากนัก โดยเฉพาะการลงทุนระยะสั้น แต่ถ้าเป็นการลงทุนระยะยาว เชื่อว่าจะค่อยๆ ทยอยเห็น

โดยการเลือกตั้งในครั้งนี้น่าจะเป็นการแข่งขันที่เข้มข้น แต่อยู่ภายใต้กติกา มีการรณรงค์หาเสียง ต่อสู้กันในเชิงการเมืองที่ค่อนข้างดุดัน เนื่องจากพรรคฝ่ายค้านประสงค์จะเป็นพรรครัฐบาล ภายใต้นโยบายแลนด์สไลด์ ขณะที่พรรคร่วมรัฐบาล ก็ต้องการจะมีที่นั่ง ส.ส.ในสภาฯให้มากที่สุดเช่นกัน ส่งผลให้มีเม็ดเงิน มีการใช้จ่ายเพื่อการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง สะพัดมากในช่วง 1 เดือนครึ่งก่อนการเลือกตั้งในทุกเขตการเลือกตั้ง รวมแล้วอย่างน้อย 1-1.2 แสนล้านบาท กระตุ้น GDP ปีนี้ได้ราว 0.5-0.7% จากเดิมที่คาดว่าจะมีเม็ดเงินสะพัดราว 5-6 หมื่นล้านบาท

สำหรับหลังจากจัดตั้งรัฐบาลแล้ว เสถียรภาพของรัฐบาลจะเป็นตัวสำคัญในการกำหนดทิศทางขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ถ้าทุกอย่างเป็นไปด้วยดีตามที่หลายฝ่ายต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งผ่านไปด้วยดี จัดตั้งรัฐบาลได้ รัฐบาลมีเสถียรภาพ มีนโยบายเศรษฐกิจเป็นที่ถูกใจ ก็จะทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้อย่างเด่นชัดในไตรมาส 4 เป็นต้นไป และทั้งปี ภาคเอกชนยังมองว่าเศรษฐกิจไทยจะโตได้ 3.35-3.82% ซึ่งอยู่ในกรอบเดียวกับที่ ม.หอการค้าไทยประเมินไว้ที่ 3-4% ในปีนี้ โดยภาคการท่องเที่ยวจะเป็นตัวหลักสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และมีเม็ดเงินจากการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งเข้ามาช่วยให้เงินสะพัดในช่วงไตรมาส 2 และ 3

"เมื่อมีรัฐบาล มีนายกรัฐมนตรีในเดือนส.ค. การแต่งตั้ง ครม. แถลงนโยบายต่อสภา น่าจะเกิดขึ้นราวปลายไตรมาส 3 การนำงบประมาณไปพิจารณา จะทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มชัดเจน จึงทำให้ภาคธุรกิจเชื่อว่าเศรษฐกิจจะฟื้นในไตรมาส 4" 

มาตรการรัฐ-ท่องเที่ยวหนุนดันดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ก.พ.สูงสุดรอบ 3 ปี

ม.หอการค้าไทยเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ก.พ.66 สูงสุดรอบ 3 ปี จากมาตรการรัฐและการท่องเที่ยวหนุน

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ก.พ.66 อยู่ที่ระดับ 52.6 เพิ่มขึ้นจากเดือนม.ค. ซึ่งอยู่ที่ระดับ 51.7 โดยเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9 และอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 3 ปี นับตั้งแต่ที่ประเทศไทยเริ่มประสบกับปัญหาการแพร่ระบาดจากโรคโควิด-19 ในช่วงต้นปี 63

ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม อยู่ที่ 46.8 เพิ่มขึ้นจากระดับ 46.0 ในเดือน ม.ค.ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางานทำ อยู่ที่ 49.9 เพิ่มขึ้นจากระดับ 49.0 ในเดือนม.ค.66 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ที่ 61.2 เพิ่มขึ้นจากระดับ 60.2 ในเดือน ม.ค.จะเห็นได้ ดัชนีฯ โดยรวมดีขึ้นทุกตัว และสูงสุดในรอบ 36 เดือน นับตั้งแต่มี.ค.63   ปัจจัยบวกสำคัญ เช่น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 66 ที่ภาครัฐมีให้ประชาชนอย่างต่อเนื่อง เช่น ช้อปดีมีคืน, มาตรการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง, จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาไทยมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น, ราคาพืชผลเกษตรหลายรายการปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้สูงขึ้น และทำให้กำลังซื้อในต่างจังหวัดปรับดีขึ้น, ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศเริ่มปรับตัวลดลง, เงินบาทอ่อนค่าเล็กน้อย

ทั้งนี้ปัจจัยลบที่สำคัญได้แก่ ผู้บริโภคยังรู้สึกว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวช้า ตลอดจนปัญหาค่าครองชีพที่ปรับสูงขึ้น, สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เผย GDP ปี 65 ขยายตัวได้เพียง 2.6% ต่ำกว่าประมาณการเดิมที่คาดไว้ว่าจะขยายตัวได้ 3.2%, การส่งออกของไทยในเดือนม.ค.66 ลดลง 4.5% และความกังวลต่อสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน ที่อาจส่งผลต่อราคาน้ำมันและพลังงานโลกยังทรงตัวสูง ซึ่งกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้า