​“คารม” ย้ำข่าว “ห้ามให้นักเรียนติด 0 ขอแค่ให้มาเรียนก็ได้เกรด 1” ไม่เป็นความจริง

เมื่อวันที่  15 มกราคม 2567 นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีการเผยแพร่ว่า ผอ. อ้างคำสั่งจากกระทรวงศึกษาธิการ ห้ามให้นักเรียนติด 0 ขอแค่ให้มาเรียนก็ได้เกรด 1 นั้น  ทางสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงศึกษาธิการ ได้ชี้แจงแล้วว่า เป็นข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง 
 
นายคารม กล่าวว่า จากกรณีดังกล่าว สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานได้มีหนังสือซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับการวัดและประเมินผลการเรียนรู้และการสอนซ่อมเสริมโดยมีเจตนากระตุ้นให้สถานศึกษากำกับ ติดตาม ช่วยเหลือ สอนซ่อมเสริมและดำเนินการวัดและประเมินผลกรณีนักเรียนมีผลการเรียนไม่สมบูรณ์ (ติด 0 ร มส.) เพื่อให้เป็นไปตามนโยบาย เรียนดี มีความสุข ของกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาทั้งผู้เรียน ผู้สอน  เพื่อให้การเรียนดีขึ้น ลดปัญหาของผู้เรียนในการติด 0 ร มส. ไม่ใช่ห้ามให้นักเรียนติด 0 ตามที่ได้ปรากฎในสื่อ
 
นายคารม กล่าวว่า การที่นักเรียนจะได้รับการตัดสินผลการเรียน ต้องมาจาก 2 ส่วน ได้แก่ 1) เวลาเรียน ซึ่งกำหนดให้ผู้เรียนต้องมีเวลาเรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของเวลาเรียน เป็นการมุ่งหวังให้ผู้สอนมีเวลาในการพัฒนาผู้เรียน และเติมเต็มศักยภาพของผู้เรียน และเพื่อให้การจัดการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ และ 2) คะแนนการประเมินระหว่างเรียนและคะแนนปลายปี/ปลายภาค ซึ่งการประเมินผลการเรียนรู้ตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ทั้ง 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้นั้น เป็นการประเมินความรู้ความสามารถ ทักษะ เจตคติ ทักษะการคิด ที่กำหนดอยู่ในมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งจะนำไปสู่การสรุปผลการเรียนรู้ของผู้เรียนตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดต่อไป ซึ่งการกำหนดสัดส่วนคะแนนระหว่างเรียนกับคะแนนปลายปี/ปลายภาค นั้นให้ความสำคัญของคะแนนระหว่างเรียนมากกว่าคะแนนปลายปี/ปลายภาค เช่น 60 : 40, 70: 30, 80 : 20 เป็นต้น

“ขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงศึกษาธิการ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ http://www.ops.moe.go.th หรือโทร. 02 281 9264” นายคารม ย้ำ

 

#คารมพลพรกลาง #กระทรวงศึกษาธิการ #ผลการเรียน

​รัฐบาลเชิญชวนเที่ยวงาน OTOP City 2023 ระหว่าง 16 - 24 ธ.ค. ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี

​รัฐบาลเชิญชวนเที่ยวงาน OTOP City 2023 ระหว่าง 16 - 24 ธันวาคม 2566 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี ร่วม ชม ชิม ช้อป สินค้าจากผู้ประกอบการกว่า 2,000 ราย เริ่มพรุ่งนี้วันแรก

วันนี้ (15 ธ.ค. 66) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยกรมการพัฒนาชุมชนกระทรวงมหาดไทย เชิญชวนประชาชนร่วมงาน OTOP City 2023 ภายใต้ธีมงาน “ช้อปสนุก...ส่งสุขท้ายปี สินค้าดีจากภูมิปัญญาไทย” ระหว่างวันที่ 16-24 ธ.ค.นี้ ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี
 
นายคารม กล่าวว่า ผู้เข้าร่วมงานจะได้สัมผัสเอกลักษณ์ภูมิปัญญาที่แสดงความเป็นท้องถิ่นไทยในแต่ละภูมิภาค ผสม ผสานกับสีสันส่งท้ายปีที่สร้างความคึกคัก เต็มไปด้วยความสนุกสนานของกิจกรรม และของรางวัลมากมายภายในงานมีกิจกรรมที่มีความหลากหลาย ประกอบด้วย 1.โซนนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จ พระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว 2.โซน OTOP Trader จังหวัด และ OTOP Trader ประเทศไทย จัดสรรพื้นที่ในรูปแบบ Open Area เพื่อจัดแสดงผลงานและจัดหาช่องทางทางการตลาดให้แก่สินค้า OTOP ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ โดยบริษัทโอทอป อินเตอร์เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด 3.โซน Health &SPA สร้างสรรค์พักผ่อนหย่อนใจไปกับบรรยากาศที่ผ่อนคลายสไตล์สปาไทย มีทั้งการนวดเพื่อสุขภาพ นวดเพื่อผ่อนคลาย และการนวดเพื่อความงาม มีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรคุณภาพดี 4.โซนมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย 5.โซนมูลนิธิศิลปาชีพ “สืบสาน สร้างสรรค์ ส่งเสริม งานศิลปหัตถกรรมไทยทุกมิติ ให้ก้าวไกลอย่างยั่งยืน” 6.โซนประชารัฐจังหวัด 7.โซนแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ OTOP 3-5 ดาว ที่ผ่านการคัดสรรสุดยอดหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ไทย ประจำปี พ.ศ.2565 กว่า 2,000 บูธ 8.โซนโอทอปชวนชิมมากกว่า 160 ร้านค้าทั่วประเทศ
 
“ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมสนับสนุนสินค้าจากผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ชม ชิม ช้อป และร่วมภาคภูมิใจไปกับสุดยอดสินค้า OTOP ทั่วไทย ที่สุดแห่งภูมิปัญญา ตั้งแต่ระหว่างวันที่ 16 - 24 ธันวาคม 2566 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1-3 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยสร้างโอกาส สร้างอาชีพและสร้างรายได้ให้กับผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศไทย มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” นายคารม ย้ำ

มท.เดินหน้า สำรวจปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน

“คารม” เผย รัฐบาลโดย มท.เดินหน้า สำรวจปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ตั้งเป้าสำรวจปัญหาให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 มกราคม 2567 

วันที่ 24 พ.ย.2566 นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยกระทรวงมหาดไทย เดินหน้าสำรวจปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน โดยตั้งเป้าสำรวจปัญหาให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 มกราคม 2567 เพื่อให้ทันต่อการประชาคมแผนในระดับชุมชน/หมู่บ้าน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และนำข้อมูลที่ได้จากการ Re X-ray ในครั้งนี้เข้าสู่เวทีประชาคมแผนในระดับต่าง ๆ เพื่อให้ปัญหาของพี่น้องประชาชนได้ถูกบรรจุไว้ในแผน นำไปสู่การแก้ไขปัญหาต่อไป

นายคารม กล่าวว่า การขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืน ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยระบบ ThaiQM  ในปีที่ผ่านมากระทรวงมหาดไทย ได้รับความร่วมมือที่ดีอย่างยิ่งจากทางจังหวัด และอำเภอ ที่ได้ช่วยกันนำภาคีเครือข่ายลงพื้นที่เคาะประตูบ้านพี่น้องประชาชน โดยสามารถเก็บข้อมูลจากครัวเรือนได้มากถึง 14,562,655 ล้านครัวเรือน ซึ่งพบครัวเรือนที่มีปัญหา 3,810,466 ครัวเรือน โดยได้ดำเนินการแก้ไขไปแล้ว 3,614,409 ครัวเรือน คิดเป็นร้อยล่ะ 94.85 ทั้งนี้จะมีครัวเรือนที่อยู่ระหว่างการแก้ไขปัญหา 196,057 ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 5.15 

“เพื่อให้การบำบัดทุกข์ บำรุงสุข เกิดขึ้นกับพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง ตามความตั้งใจของรัฐบาล และตามนโยบายของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ให้แนวทางปฏิบัติที่สำคัญ คือ การ Re X-ray ครัวเรือน เพื่อให้การสำรวจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล มอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ใช้กลไกทีมจังหวัด ทีมอำเภอ บูรณาการทีมที่เป็นทางการ คือ หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน คณะกรรมการหมู่บ้าน (กม.) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ฯลฯ และทีมจิตอาสาภาคีเครือข่ายในพื้นที่ ทั้งภาคราชการ ภาคผู้นำศาสนา ภาควิชาการ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภาคประชาชน และภาคสื่อสารมวลชน ประชุมหารือวางแผนหาแนวทางร่วมกัน เพื่อให้การสำรวจฯ เข้าถึงประชาชนทุกครัวเรือนอย่างครอบคลุม ได้รับทราบปัญหาที่แท้จริง” นายคารม ย้ำ

ห้ามขาย "ถุงยางอนามัย" ที่ได้รับแจกฟรีผ่านแอป “เป๋าตัง”! "คารม" เตือนจะถูกดำเนินคดี

เมื่อวันที่ 6 พ.ย.66 นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) พบว่ามีผู้นำถุงยางอนามัยที่ สปสช. แจกฟรี  ไปขายบนแพล็ตฟอร์มซื้อขายสินค้าออนไลน์ชื่อดังในราคาที่ถูกกว่าท้องตลาด ซึ่งการกระทำดังกล่าว เป็นการนำสิ่งของที่รัฐแจกฟรีให้แก่ประชาชนมาแสวงผลประโยชน์โดยมิชอบและมีความผิดตามกฎหมาย จึงขอเตือนให้หยุดการกระทำดังกล่าว 

ทั้งนี้ การแจกถุงยางอนามัย เป็นหนึ่งในสิทธิประโยชน์ด้านการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ที่ สปสช. จัดให้แก่ชายไทยทุกสิทธิ ควบคู่ไปกับการแจกยาคุมกำเนิดและยาคุมฉุกเฉินแก่สตรีวัยเจริญพันธุ์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พร้อม ซึ่งทั้งถุงยางอนามัยและยาคุมกำเนิด สปสช. แจกให้ฟรีโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ดังนั้น การฉวยโอกาสนำถุงยางอนามัยที่ได้รับฟรีมาขายต่อ จึงเป็นการกระทำที่ผิดวัตถุประสงค์ เอาเปรียบเบียดบังเอาสิ่งของที่ได้มาจากภาษีส่วนรวมมาหาผลประโยชน์โดยมิชอบขอให้ผู้ที่กระทำการในลักษณะนี้หยุดการกระทำโดยทันที หากพบว่ายังมีการนำถุงยางอนามัยที่ได้รับแจกฟรีมาขายต่ออีก สปสช. จะพิจารณาดำเนินการทางกฎหมายจนถึงที่สุด 

“ขอเตือนว่าเป็นเรื่องที่ไม่คุ้ม ท่านอาจจะขายของได้เพียงหลักสิบหลักร้อยบาท แต่เมื่อถูกฟ้องร้องขึ้นมา ท่านอาจจะเสียทั้งเงินและอาจถึงขั้นติดคุกด้วย ในส่วนของประชาชนผู้ที่ต้องการใช้ถุงยางอนามัย สามารถขอรับถุงยางอนามัยได้ฟรี โดยลงทะเบียนใช้สิทธิในเมนู “กระเป๋าสุขภาพ” ในแอปฯ เป๋าตัง แล้วเลือกหน่วยบริการในระบบบัตรทองเพื่อไปรับถุงยางอนามัยได้ ทั้งคลินิกชุมชนอบอุ่น คลินิกเวชกรรม ร้านยา หน่วยบริการปฐมภูมิ คลินิกการพยาบาล รพ.สต. หรือในกรณีที่ไม่มีสมาร์ทโฟนก็สามารถนำบัตรประชาชนมาลงทะเบียนเพื่อรับยาคุมกำเนิด ณ หน่วยบริการในระบบบัตรทองได้เช่นกัน โดยสามารถรับได้ครั้งละ 10 ชิ้นต่อคน/สัปดาห์ และไม่เกิน 52 ครั้ง/คน/ปี” นายคารม กล่าว
 

#ถุงยางอนามัย #เตือน #คารมพลพรกลาง